โจทย์วิจัยเชิงระบบเป็นเรื่องท้าทาย และเป็นเรื่องที่เรามักมองเห็นแบบเห็นดวงจันทร์ คือเห็นด้านเดียวตามความเคยชิน โดยไม่รู้ตัว สภาพเช่นนี้ ในเรื่องระบบยา ได้แก่
• มองเห็นเฉพาะด้าน consumption หรือด้านบริโภค ไม่เห็นด้าน production หรือด้านการผลิต
• มองเห็นเฉพาะมุมมองจากด้านฝ่ายผู้ให้บริการ ไม่มองจากมุมของชาวบ้าน หรือผู้ใช้ยา
• มองเห็นเฉพาะยาแผนตะวันตก ไม่มองยาแผนไทย
• มองเห็นเฉพาะด้านปัจจัยภายในประเทศ ไม่มองปัจจัยของระบบโลกที่มีผลต่อระบบยาของประเทศไทย
วันที่ ๒๖ ส.ค. ๕๒ ผมไปร่วมประชุมเรื่อง แนวทางการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบยา จัดโดย สวรส. ได้เห็นความซับซ้อนของระบบยา ที่เชื่อมโยงกับระบบอื่นในประเทศไทย และในโลกอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่ง ที่หากมีความรู้และการจัดการที่เหมาะสม ระบบยาจะเป็นตัวขับเคลื่อนสังคมไทยไม่เฉพาะด้านสุขภาพหรือสุขภาวะ แต่จะนำไปสู่สภาพ healthy & wealthy society ทีเดียว
เราจึงเตรียมการณ์ให้มีการดำเนินการ mega research program เรื่องระบบยา ที่มองทั้งด้าน production และ consumption มองความสมเหตุสมผลในการใช้ยาในหลากหลายมิติ และจะเป็นชุดโครงการวิจัยที่ดำเนินการระยะยาว เน้นการวิจัยแบบเอาผลไปใช้ประโยชน์ มากกว่าเพื่อการตีพิมพ์ หรือ impact factor แต่ถ้าได้ตีพิมพ์และได้ impact factor ก็ยิ่งดี
ผมเตือนนักวิจัยที่มาประชุมในวันนั้น ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเภสัชกร ว่าต้องเตรียมตัวทำงานวิจัยร่วมกันกับนักวิจัยจากวิชาชีพอื่น ร่วมกับคนนอกวิชาชีพด้านสุขภาพ และเตรียมทำงานวิจัยแบบที่มีการจัดการให้เกิดทีมวิจัยขนาดใหญ่ เกิดการวิจับข้ามศาสตร์ ข้ามสถาบัน มีการจัดกระบวนการให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพ ผู้สนใจโปรดติดตามในเว็บไซต์ของ สวรส. www.hsri.or.th
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ส.ค. ๕๒
ผมเห็นกระแส ระบบยาในเมืองไทย
มองโรงพยาบาลเป็นหลักใหญ่
มองความผิดพลาดเป็นสำคัญ
มองตามบทบาทเภสัชกรแบบไทยๆ
ความสนใจ น้อยมากที่ผู้ป่วย
เป็น product orient ที่เภสัชกร
ทั่วโลก เลอกสนใจ มา 30 ปีแล้ว(ยกเว้นประเทศไทย) 555
ระบบยา จึงมองข้ามหัวผู้ป่วย
มองระบบเพื่อปกป้องโรงพยาบาลเป็นหลัก
และยึดกฎหมายเป็น เกณฑ์
จึงมองข้ามคนไข้ไป ระบบยาแบบนี้ ผม ปล่อยมันไปครับ
คุณ นาย ศุภรักษ์ ศุภเอม เข้าใจผิดไปมากครับ
คุณต้องปรับกระบวนการคิดใหม่นะครับ
ระบบยาในเมืองไทยแต่เดิมไม่สามารถคิดนอกกรอบไปได้
เพราะกฎหมายเขียนโดยแพทย์มาตั้งแต่ พรบ.ยา 2510 ทำให้เภสัชกรไม่สามารถทำอะไรที่ช่วยผู้ป่วยได้มาก เพราะถูกจำกัดบทบาท
ทุกวันนี้ความคิดเสรีไปมากแม้จะยังถูกจำกด้วย พรบ.ยา 2510 (เดิม)
แต่เภสัชกรเลือดใหม่พยายามหาทางใหม่ให้กับคนไข้
หลักสูตรเภสัชศาสตร์ทุกวันนี้จึงมุ่งเน้นที่ตัวผู้ป่วย(patient oriented)
ถือเอาความปลอดภัยของคนไข้เป็นสำคัญ จึงทำให้แพทย์เข้าใจว่า
เภสัชกรมองความผิดพลาดเป็นสำคัญ(จับผิด)
ความจริงแล้วไม่ใช่การจับผิด และเป็นการคุ้มครองผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากการใช้ยาที่สั่งจากแพทย์ต่างหาก
มุมมองต่างกันทั้งๆที่ทำเพื่อผู้ป่วยคนเดียวกันครัฐ
การที่เภสัชกรมองความผิดพลาดของหมอเป็นสำคัญก็แล้วแต่จะคิด
แต่นั่นคือการทำหน้าที่ของเภสัชกรในการคุ้มครองผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญครับ