จิตนั้นสำคัญไฉน
ü จิต คือ ใจของคนที่คิดอะไร เป็นอย่างไร
ü จิตมีความสำคัญคือ เป็นมูลฐานของความประพฤติในทุกทาง และความเจริญ ความเสื่อม ความสุขและความทุกข์
ü อาหารของจิตคือ อารมณ์ คือเรื่องที่ทำให้จิตมีสุข อาหารที่มีประโยชน์คือ(ธรรมะ)เป็นเครื่องบำรุงจิตใจ จิตที่ได้รับการอบรมดีแล้ว(ธรรมะ)ย่อมก่อประโยชน์สุขแก่ตัวเอง ธรรมะ เป็นเครื่องยับยั้งใจของคนเรามิให้ประพฤติไปตามอำนาจของจิตใจอย่างไม่มีอาย ไม่มีกลัว ดังที่ว่า ปราศจากหิริโอตัปปะ(ความละอายรังเกียจความชั่วและกลัวเกรงต่อความชั่ว ) สัตว์เดรัจฉานมีธรรมะอยู่ระดับต่ำมากทั้งไม่อาจเพิ่มพูนให้มากจนถึงระดับที่เรียกว่า วัฒนธรรมได้ จึงเรียกว่า อบายภูมิ คือภูมิกำเนิดที่ไร้ความเจริญ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจิตที่ตั้งไว้ผิดพึงทำให้ผู้นั้นทรามยิ่งกว่าโจรกระทำแก่โจรหรือคนมีเวรกระทำต่อคนมีเวร
ü จิตใจที่แท้จริง คือจิตใจต้องการความดี จิตใจที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสต่างหากที่ต้องการความชั่ว ลักษณะที่เป็นทาสแท้ของจิต คือ ความผุดผ่องและความรู้มีความผุดผ่องโปร่งใสสงบสบาย สมาธิ คือ การตั้งใจไว้ถูกโดยแน่วแน่มั่นคง จะทำการงานอะไรเมื่อมีความตั้งใจทำ จึงทำได้เรียบร้อย
ü ลักษณะที่เป็นส่วนผสมของจิตใจ จิตที่ไม่ผุดผ่องอยู่เสมอก็เพราะมีส่วนผสมที่เข้ามาทำให้จิตเศร้าหมอง คือ กิเลส แปลว่าเครื่องเศร้าหมอง หรือเป็นสิ่งที่มาอาศัยอยู่กับจิตใจ
1. ก่อนทำอะไรให้นึกรู้ตัวเองว่าเราจะทำ 2. ให้ชั่งคิดว่าถูกหรือผิด 3. ให้ตั้งใจไม่ทำผิดถ้าตั้งใจแน่วแน่เว้นการทำผิดได้แน่ 4. เมื่อรู้ตัวว่าถูกให้ตั้งใจทำ ถ้าตั้งใจแน่วแน่ก็ทำได้ถูกแน่ เมื่อให้หัวข้อ ทั้ง 4 ไว้ ก็อาจจะถูกหาว่าพูดง่ายทำยากก็น่าจะจริง แต่ ก็ควรคิดว่าทำยากเพราะอะไร อาจจะมีคำตอบที่น่าจะไม่ผิดคือ ที่ว่ายากเพราะว่ายังไม่ได้ลงมือทำ คือยังไม่หัดที่จะทำ
ü วิธีเสริมกำลังให้แก่จิตคือ การรวมจิตไม่ปล่อยให้ฟุ่งซ่าน
ü หลักการบริหารจิต
1. ยกจิต(ให้พ้นจากกิเลส)
2. ข่มจิต
3. บันเทิงจิต
4. ปล่อยจิต
ü จงเตือนตนด้วนตน จงสอบสวนตนด้วยตน ผู้มีสติคุ้มครองตนจักเป็นผู้ปลอดภัยอยู่เป็นสุข
จิตที่บริหารฝึกดีแล้ว จะเป็นจิตที่มีสมรรถภาพสูงมาก ….และปล่อยวางได้ตามสบาย
ü เครื่องมือที่ทำให้จิตใจมีสมาธิคือ สติ (ความระลึกได้ จดจำได้ เป็นความรู้รอบคอบให้ไม่หลงลืมควบคุมตนเองได้ ไม่ใช่ทำอะไรอย่างหนึ่งแล้วปล่อยใจล่องลอยไปเรื่องอื่น ซึ่งเป็นอาการที่ขาดสติ ความขาดสตินั้นเองที่เรียกว่า ความประมาทจิตใจที่ขาดสติจะเป็นสมาธิไม่ได้ ดังจะกล่าวทบทวนว่า”ความตั้งใจไว้ถูกโดยแน่วแน่มั่นคงคือ สมาธิเป็นหัวสำคัญในกิจที่จะทำอะไรทุกอย่าง ควรมีสติระลึกอยู่ก่อนว่าเราจะทำ ระลึกตนเองว่าทำถูกหรือผิดและส่งเสริมทำในสิ่งที่ถูก
ü อะไรที่เป็นผลโดยตรงของการทำจิตให้เป็นสมาธิ คือปัญญา /ปัญญาคือ ความรู้ตามความเป็นความจริง …… ผลโดยตรงจากสมาธิคือปัญญา /คุณธรรมคือ ความดีอันได้แก่ความดีที่เกิดจากความประพฤติในทางบำบัดความทุกข์ความเดือดร้อน คุณธรรมนั้นเองที่ช่วยรักษาผู้ประพฤติมิให้ตกไปในทางที่ชั่ว /สติคือ ความระลึกได้ หมายถึงความระลึกถึงการที่ ทำ การพูดแล้ว ผู้ที่มีสติดีจะมีความจำได้ดี สติที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วย ความรู้ตัว
ภาษิตในพระพุทธศาสนาบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”
เหมือนฉัตรร่วมใหญ่ในฤดูฝน(ธรรมในที่นี้หมายถึงคุณธรรมอันได้แก่ความดี) อันเกิดจากความประพฤติในการบำบัดทุกข์เดือดร้อนเกื้อกูลให้เกิดสุข คุณธรรมนี้เองย่อมรักษาผู้ประพฤติไม่ให้ตกอยู่ในความที่ชั่ว และยังรักษาตลอดไปจนถึงผู้อื่นได้อีกด้วย เพราะผู้ปะพฤติธรรมย่อมไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำแต่สงเคราะห็เกื้อกูล จึงไม่ให้ใครเดือดร้อนจากผู้ประพฤติธรรม
ü ธรรมเป็นของคู่กับสัมปชัญญะ คือความรู้คุมตัวเองอยู่ในอิริยบถทั้งปวง
ü สติเป็นคู่กับการรู้ตัว เพราะถ้าสติจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อความรู้ตัวประกอบ ถ้าไม่มีสัมปชัญญะ มีแต่ระลึกได้ ก็หาเป็นสติไม่
ü อะไรเป็นเครื่องห้ามความโกรธให้ประมวลดูเหตุเกิดจากอะไรซึ่งถ้ายับยั้งใจเสียได้ผลจะเป็นอย่างไรจะเดือดร้อนหรือไม่ ความรู้สึกได้นั้นเป็นสติเพื่อป้องกัน เมื่อเกิดโกรธขึ้นให้ระลึกได้ว่าความโกรธไม่ดี ควรยับยั้งเสียก่อนที่จะก่อให้เกิดกรรมร้ายใดๆขึ้น
ü ความหลงแบบต่างๆ คือความปัญญาหรือเผลอปัญญามักเกิดกับคนที่เชื่อง่าย สำคัญตนผิด ขาดการศึกษา คนเมา คนลืมตัว
ü เชื่อง่ายนั้นคือ เมื่อคนมาบอกเรื่องอะไรเชื่อไว้ก่อนที่เรียกว่าคนหูเบา ความเชื่อที่ผิดนั้นเป็นความหลง ฉะนั้น ต้องมีสติห้ามใจไม่ให้ด่วนชอบหรือโกรธ
ü มักง่ายนั้นคือ คนมักทำอะไรแบบชุ่ยๆ ไม่พินิจรอบคอบ มักจะเกิดความผิดพลาดบ่อยเป็นความหลงอย่างหนึ่งมีอาการย่อหย่อนทางปัญญาและความเพียร
ü สำคัญตนผิด คือ ความหลงอยู่ในตนคือไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง จึงสำคัญตนผิดไป เช่นสำคัญตนเองว่าดีวิเศษ ส่วนคนนั้นเสียหายอย่างนั้นอย่างนี้ โดยสรุป คือรู้จักตนดีหรือไม่ดีอย่างไร เป็นเหตุให้สำคัญตนถูก ส่วนความไม่รู้จักตนตามเป็นจริงดังนั้นเป็นเหตุให้สำคัญผิด เมื่อเป็นเช่นนั้นก็แสดงตนออกไปในทางที่ผิด หรือไม่แสดงก็สร้างปมขึ้นในใจ จะเป็นปมเด่นหรือด้อยก็ตาม บางที่ชอบแสดงเด่นเพื่อลบปมด้อยในใจ อาการเช่นนี้มักจะมีแก่ผู้ที่เคยต่ำแต่มาได้ฐานะสูงที่หลัง จึงทำการชูตนให้สูงสมกับฐานะ…….การใช้สติตรวจตราตนเองอยู่เสมอจะไม่เกิดความสำคัญตนผิดขึ้น อีกประการหนึ่ง ใช้สติพิจารณาเสมอว่าการนำตนเข้าไปเทียบกับตนอื่นแล้วเกิดการชูตนเป็นการไม้ดีเลย ตนเองใฝ่ดีก็ตั้งหน้าตั้งตาทำดีไป อะไรที่ทำไม่ดีก็เว้น
ü ความเมากาย หมายถึงเมาด้วยการดื่มน้ำเมาอันเป็นฐานแห่งความประมาท ดังที่แสดงไว้ในศิล ข้อ 5 คนที่เมาแล้วต้องแสดงอาการวิปริต ประสบความเสียหาย ไม่มีสติที่จะครองตน แต่คนที่มีสติย่อมจะระลึกได้ว่าการดื่มสุราควรไม่ควรอย่างไร สติเป็นเครื่องเตือนใจแน่วแน่มั่งคง แต่ต้องหัดบริหารจิตให้มีสติบ่อยๆ จนมีกำลังที่จะต้านทานความดิ้นรนที่จะเสพติดอีก
ü ความเมาใจ อันเมาสำหรับใจนั้นได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขต่างๆที่คนส่วนมากปรารถนาต้องการ ลาภคือทรัพย์สิ่งที่ได้มา หรือที่ยากได้ เช่นเงินทอง แก้วแหวน และสมบัติต่างๆ ยศ คือความเป็นใหญ่ต่างๆ ที่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ หรือความมีบริวารพวกพ้องหรือเกี่ยวแก่สิ่งที่เรียกว่ามีเกียรติ สรรเสริญ คือความยกย่องชมเชย สุข คือความผาสุก สนุกสบาย พร้อมทั้งสิ่งที่บำรุงความสุขต่างๆ แต่คนที่มีสติรู้จักประโยชน์รู้จักประมาณในการแสวงหาในการใช้ย่อมจะได้ประโยชน์เต็มที่ สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำประโยชน์ต่างๆทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นได้มาก คนที่มีสติเมื่อมีสิ่งเหล่านี้มากเท่าใด ย่อมทำประโยชน์ให้เกิดแก่คนทั้งปวงได้มากเท่านั้น ทั้งสามารถเพิ่มพูนไม่ให้หมดไปด้วย ส่วนคนที่ขาดสติที่จะระลึกให้ได้ถึงคุณโทษย่อมเกิดความเมาได้ง่าย คือหลงระเริงในทรัพย์ ยศ เป็นต้น ยิ่งได้ก็ยิ่งอยาก จนถึงไม่คำนึงทางที่ผิดทางที่ถูก และเมื่อได้มาแล้วก็ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์หรือใช้ในทางที่ผิด สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นของเมา เป็นเครี่องทำลายตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน……
ü ความลืมตัว สำคัญมาก เพราะเมื่อลืมตัวไปเสียอย่างเดียวก็ชื่อว่าลืมข้ออื่นๆ ไปอีกมากมาย เพราะการลืมตัวจึงทำให้สำคัญตนผิด ความลืมตัวเป็นการขาดสติที่จะระลึกได้ว่าตนเองทำอะไรอย่างไรที่เป็นอยู่ การลืมตัว คือตนเองลืมภาวะหรือฐานะที่เป็นจริงตนเองไป โดยเข้าใจว่าตนเองเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะขาดสติดังกล่าว อะไรเป็นเครื่องที่ทำให้ขาดสติ หากจะตั้งปัญหาดังกล่าวขึ้นดังนี้ ก็น่าจะได้คำตอบว่ามีเหตุผลหลายอย่าง เช่นความมีทรัพย์ อำนาจ วาสนา ความคะนองลำพองใจ ความยกย่อง สิ่งเหล่านี้เหมือนยาพิษ สำหรับผู้ที่ขาดสติ เช่นเมื่อมีทรัพย์ขึ้นก็ลืมฐานะเดิมของตนลืมญาติมิตรสหายที่เรียกว่า กระด้างขึ้นเพราะทรัพย์ มีอำนาจวาสนาขึ้นก็เช่นกัน เข้าใจตนเองว่าวิเศษยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ การป้องกันก็คือ หมั่นบริหารจิตให้มีสติความระลึกได้คอนเตือนตนตนเตือนใจด้วยสติอยู่เนื่องๆก็จะมีสติเป็นเครื่องรักษาตน ทำให้คนไม่ลืมตัวแม้ในเรื่องทั้งปวง….
ทางที่ทำให้เกิดปัญญามี 3 ทาง คือ 1. การฟังหรือการอ่าน 2. การคิดไตร่ตรอง 3.การกระทำ(คือความเพียรพยามละความชั่ว) ปัญญาเป็นตัวชี้วัดความดี - ความชั่ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาบังปัญญา จึงกลายเป็นโมหะ ถ้าต้องการไม่ให้เกิดทุกข์ จะต้องพยามยามไม่โลภ ความโลภมีอยู่ในใจผู้ใดจึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของผู้นั้น – การให้โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ คือ ทางดำเนินที่ที่ถูกต้องไปสู่ความละความโลภในชั้นต้นสำหรับทุกคน- จิตที่ได้รับการบริหารหรือการอบรมอย่างเต็มที่แล้ว ย่อมมีค่าสูงกว่าของอื่นใด ไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้ทั้งสิ้น-ใจที่มีพื้นฐานดีงามหรือใจที่ดีงามนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ไม่มีค่าอะไรอื่นเปรียบเทียบได้จะเป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองยิ่งกว่าคุณประโยชน์ที่ได้รับจากผู้ใดทั้งสิ้น- ความโลภอยู่ที่ไหน ความเดือดร้อนอยู่ที่นั้น(ปรารถนาความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด) - กิเลส 3 กอง โลภ โกรธ หลง เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์
ü การให้เป็นการลดความโลภ เมื่อไม่ต้องการเสวยความทุกข์เพราะความโลภ ก็ต้องละเหตุแห่งทุกข์คือความโลภเสีย ละได้น้อยก็เสวยทุกข์มาก ละได้มากก็เสวยทุกข์น้อย นี้เป็นความจริง อุบายวิธีที่จะทำให้ความโลภลดน้อยลงอย่างได้ผลคือหัดเป็นผู้ให้ เมื่อจะให้ต้องมีสติบอกตัวเองให้ชัดแจ้งว่า ที่ให้นี้เพื่อทำความโลภอันเป็นเหตุไม่ดีให้ลดน้อยลงมิได้เพื่อหวังสิ่งตอบแทนเป็นลาภ ยศ สรรเสริญสุข อันเป็นการจะทำให้เหตุไม่ดี
ü โลภมากทุกข์มาก ค่าของจิตที่ได้รับการบริหารหรืออบรมดีแล้วย่อมสูงกว่าค่าอะไรทั้งสิ้น ไม่มีค่าใดเปรียบได้ทั้งสิ้น จิตนั้นดีก็ดีที่สุด ชั่วก็ชั่วที่สุด ดีก็ให้คุณแก่เจ้าของเป็นที่สุด ชั่วก็ให้โทษแก่เจ้าของที่สุด ไม่มีผู้ใดจะได้รับคุณ หรือรับโทษของจิตเท่ากับเจ้าของจิตเองเลย
ü ความโลภเป็นเหตุแห่งความทุกข์ดังนี้ เมื่อตั้งใจพิจารณาอย่างมีสติจนเห็นแน่ชัดพอสมควรแล้ว ว่าใจกำลังมีความทุกข์เพราะความโลภมาก หรือมีความทุกข์น้อยเพราะโลภน้อย ให้มีสติเพ่งโทษของความโลภให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเป็นโทษของความโลภจริงๆหากพิจารณาแล้วจะกลับว่าไม่ได้โลภ เป็นสิ่งที่ควรได้ต่างๆหาก เพราะไม่ได้สิ่งที่ควรได้ตางหาก จึงเป็นทุกข์ ก็ให้พยายามมีสติรู้ว่าตนกำลังเข้าใจผิดอย่างยิ่งแล้วพิจารณาใหม่ จนได้ความเข้าใจถูก แม้เพียงสมควร ว่าความทุกข์ครั้งนี้เกิดจากความโลภ มิได้เกิดจากอะไรอื่น
ü ดับโลภด้วยสติ ความโลภหรือไม่โลภนั้นเป็นเรื่องของจิตใจโดยแท้ ไม่เกี่ยวกับโอกาส กฎหมาย ไม่เกี่ยวกับผู้รู้เห็นจะตำหนิโทษ อันความโลภซึ่งเป็นสิ่งสกปรกของใจนั้น ก็เช่นเดียวกับเหงื่อไคลซึ่งเป็นสิ่งสกปรกของร่างกาย ถ้าไม่ขัดถูให้สะอาดอยู่เสมอ ก็ย่อมเพิ่มความสกปรกยิ่งขึ้นทุกที
ü ให้เพื่อหวังบุญมิใช่โลภ เชื้อไฟเป็นอาหารของไฟ ความปรารถนาต้องการเป็นอาหารของความโลภ ไฟจะลุกไหม้อยู่ไม่รู้ดับแม้ไม่หมดเชื้อ ความโลภก็จะทวีขึ้นไม่หยุดยั้งแม้ไม่หมดความปรารถนาต้องการที่กำลังลุกแรงและอ่อนแรงลง เมื่อเชื้อน้อยลงและจะดับสนิทเมื่อหมดเชื้อสิ้นเชิงฉันใด ความโลภที่แรงจัดก็จะอ่อนลงได้ เมื่อความปรารถนาต้องการน้อยลงและจะสิ้นโลภได้สิ้นเชิง …… ถ้าการให้นั้นเป็นการให้เพื่อลดกิเลสหรือความโลภในใจตน มิได้ให้เพื่อหวังสิ่งตอบแทนที่ยิ่งกว่า มีผลตอบแทนที่ยิ่งกว่าเพียงอย่างเดียวที่หวังได้เมื่อจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ผู้ใด จะไม่เป็นการเพิ่มความโลภ ความต้องการปรารถนา ผลตอบแทนนั้นคือบุญ เพราะเป็นความดีเป็นเหตุที่ดี (การให้ที่ดีที่สุดคือ การให้ธรรมะ)
ü ความโลภมีกลิ่นเหม็นทวนลม นั่นคือ ผู้มีศิลย่อมล่วงรู้ไปทุกทิศทุกทาง แม้ในทิศทวนลมฉันใด ผู้มีความโลภก็ย่อมล่วงรู้ไปถึงทุกทิศทุกทาง แม้ในทิศทางทวนลมฉันนั้น ผิดกันที่ว่าผู้มีศิลย่อมหอมหวล ส่วนผู้มีความโลภย่อมเหม็นคลุ้ง เพราะกลิ่นของศิลเป็นกลิ่นที่หอม กลิ่นของความโลภเหม็น….กลิ่นของศิลที่หอม..กลิ่นความโลภเหม็น นี้เป็นความจริง และเป้นความจริงที่จะให้ประโยชน์แก่จิตใจเป็นอันมาก หากจะเชื่อว่าเป็นความจริง แล้วไตร่ตรองดูว่า กลิ่นใดเป็นที่พึงปรารถนา เหคุกับผลย่อมตรงกันเสมอ เหตุดีเท่านั้นที่ให้ผลดี เหตุชั่วเท่านั้นที่จะให้ผลชั่ว เหตุดีจะไม่ให้ผลชั่วเด็ดขาด ..เหตุชั่วจะไม่ให้ผลดีเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นอย่างแน่นอนสำหรับเหตุและผลนี้ ต้องเป็นไปดังกล่าวเสมอ…ความปรารถนาต้องการหรือความโลภนั้น อาจจะทำให้เสียศิลหลายข้อหรือทุกข้อเลยที่เดียวตั้งแต่ศิลข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 5 …….(หากจะโลภขอให้โลภทำบุญ)
ü ความปรารถนาดับ ความร้อนดับ บุญและบาปที่ผู้ใดทำไว้เท่านั้น ที่จะติดตามผู้นั้นอยู่ทุกเวลา ทั้งยังมีชีวิตอยู่และแม้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ดังนั้นหากจะสะสมก็ควรสะสมบุญ เพราะบุญจะเป็นสมบัติของตนตลอดไปทั้งยังเป็นสมบัติที่หาค่าไม่ได้…
ü เสียสิ้นสงวนศักดิ์….ผลย่อมเกิดจากเหตุ และผลย่อมตรงกับเหตุ เหตุดีผลก็ดี เหตุไม่ดีผลก็ไม่ดี … การกระทำทุกอย่างมีผล..คือ กรรมทุกอย่างมีผล ทำดีหรือกรรมดีก็มีผลดี ทำชั
ไม่มีความเห็น