ทุกอย่างเกิดจากเหตุ
ประเทศไทยเริ่มมีการศึกษาเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์ แบ่งตามวิวัฒนาการศึกษายุคต่าง ๆ ดังนี้
สมัยสุโขทัย Ø การศึกษาจะเป็นแบบวัดกับรัฐร่วมกันจัดการศึกษามุ่งเน้นในด้านการอบรม สั่งสอนศีลธรรมข้อปฏิบัติในการเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม เมื่อได้อ่านได้ฟังจากหนังสือ จะมีพระภิกษุและวัดเป็นแหล่งวิชาทานที่สำคัญ วังที่สอนบุตรหลานข้าราชการ ทางด้านการเมือง และการเรือน ตามสำนักบ้านวิชาช่างต่าง ๆ ก็จะสอนเกี่ยวกับวิชาชีพ ช่างถม ช่างแกะ ช่างปั้น ฯลฯ เพื่อไปประกอบวิชาชีพ
หลักสูตร Ø มุ่งอบรมสั่งสอนธรรมในคัมภีร์พระไตรปิฎก จริยศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวิทยาการต่าง ๆ เน้นในด้านการเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาขอม วิชาเลข หนังสือคัมภีร์ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษด้วยการคัดลอกหรือบอกต่อ และมีศิลาจารึก
โรงเรียน Ø วัด วัง หมู่บ้าน
ครู ผู้บริหาร Ø พระภิกษุ ขุนนาง เจ้านาย ครูช่าง
นักเรียน Ø ทุกคนที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นลูกเจ้านายมียศมีตำแหน่ง และมีฐานะ จะได้รับการศึกษาการอบรม
การเรียนการสอน Ø การเรียนการสอนแบบถ่ายทอดวัฒนธรรมอันดีงามและครูเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนเป็นต้นแบบ
สมัยอยุธยา Ø การจัดการศึกษาเหมือนกับสมัยสุโขทัย
หลักสูตร Ø เหมือนกับสมัยสุโขทัยรัฐจะไม่จัดการศึกษาโดยตรง แต่พระเจ้าแผ่นดินจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเพื่อให้เกิดพุทธศึกษาและจริยศึกษา เกิดแบบเรียนไทย หนังสือจินดามณี และตำราวิชาการช่างต่าง ๆ มากมาย เช่น วิชาโหราศาสตร์
โรงเรียน Ø วัด วัง สำนักราชบัณฑิต สถานสอนภาษาของมิชชั่นนารีโรงเรียนสามเณร
ครู ผู้บริหาร Ø พระภิกษุ ขุนนาง เจ้านาย ครูช่าง หมอสอนศาสนาชาวต่างชาติ
นักเรียน Ø ทุกคนที่ได้รับโอกาสทางการศึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นลูกเจ้านายมี
ยศมีตำแหน่ง และมีฐานะ จะได้รับการศึกษาการอบรม ในสตรีเกิดขึ้นน้อยด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง
การเรียนการสอน Ø การเรียนการสอนแบบถ่ายทอดวัฒนธรรมอันดีงามและครูเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนเป็นต้นแบบ เหมือนกับสุโขทัย
สมัยธนบุรีเหมือนกับสมัยกรุงศรีอยุธยา Ø เนื่องจากบ้านเมืองมีศึกสงคราม การทำนุบำรุงศาสนาและการส่งเสริมด้านการเขียนหนังสือ วรรณคดีต่าง ๆ นอกจากเพื่อเป็นการส่งเสริมสืบทอดพระพุทธศาสนาแล้วยังเป็นการส่งเสริมให้การอบรมแก่ประชาชนไปพร้อม ๆ กันด้วย
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น Ø การศึกษาสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน มีวัดและวังเป็นที่อบรม เหมือนกับกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นการศึกษานอกโรงเรียน
หลักสูตร Ø เหมือนกับกรุงศรีอยุธยาแต่จะมีการติดต่อกับต่างชาติมากขึ้นก็จะมีโรงพิมพ์ผลิตตำราเรียน หนังสือประถม ก.กา และประถมมาลา
โรงเรียน Ø เริ่มเป็นรูปแบบคล้ายกับโรงเรียนมากขึ้น แต่ยังอยู่ในวัดและในวังเหมือนเดิม
ลักษณะครู นักเรียน การเรียนการสอน จะแบบเดิม ตามคำสุภาษิตที่ว่า “เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้สินเมื่อใหญ่” ลักษณะการจัดการศึกษาจะเป็นแบบ บวชเพื่อเรียน ไม่ใช่จะเรียนหนังสืออย่างเดียวจะเน้นในด้านการไปประกอบอาชีพ จะตรงกับข้ามกับสมัยนี้ การประกอบอาชีพไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เราได้เรียนหนังสือ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย Ø ในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเกิดขึ้นระยะแรกประชาชนยังไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาเท่าไร ต่อมาความคิดเปลี่ยนกับมาให้ความสำคัญกับการศึกษาส่งบุตรหลานไปเรียนเพื่อได้ฝึกหัดให้เข้ารับราชการตามความต้องการของบ้านเมือง
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มมีแผนการศึกษา และนำปรัชญาการศึกษาจากยุโรปมาใช้จัดการศึกษาของไทย โดยมีจุดมุ่งหมายให้ทุกคนได้รับการศึกษาเท่าเทียมกัน เน้นทางด้าน พุทธศึกษา จริยศึกษา และพลศึกษา
ในสมัยรัชกาลที่ 7 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มุ่งส่งเสริมประชาธิปไตย ขยายการศึกษาไปถึงขั้นอุดมศึกษา และได้นำทฤษฎีปรัชญาการศึกษาของทางยุโรปมาใช้จนถึงปัจจุบัน แต่มาถึงยุคที่เกิดปัญหาทางสังคมทำให้นักวิชาการได้เกิดวิพากษ์ว่าการศึกษา ที่จัดอยู่ในปัจจุบันเหมาะสมกับเด็กไทยหรือไม่ทำให้เกิดนักคิดทฤษฎีมากมาย เพื่อแก้ปัญหาสังคมที่เกิดว่าการจัดการศึกษาเราควรที่จะจัดการศึกษาตาม ปรัชญาการศึกษาไทยหรือไม่ ซึ่งแบ่งตามแนวคิดตามนักปรัชญาที่ได้เรียนมา ดังนี้
ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรม โดย พระธรรมปิฎก คือ ทุกอย่างเกิดจากเหตุตามแนวพระพุทธศาสนา คนเราจะมีสติปัญญาได้ด้วย 2 องค์ ประกอบ คือ ทางด้านร่างกายและจิตใจ มนุษย์จะเรียนรู้ได้ด้วยสติปัญญาภายในใจนั้น คือ การที่เราได้ฝึกปฏิบัติให้สามารถหลุดพ้นจากอำนาจครอบงำจากสิ่งอื่น ทำให้มีอิสรภาพ คือ สติปัญญาที่เราได้ศึกษานี้เอง กระบวนการศึกษา มีองค์ประกอบ คือ การมีความรู้เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์และปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและแก้ปัญหาได้ถูกต้อง ตามหลักไตรสิกขา การปรับตัวเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการดำรงอยู่ พัฒนาร่างกายแข็งแรง และจิตใจที่มีคุณธรรม และการรู้จักและเข้าใจเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของ ตนกับสิ่งแวดล้อมและปรับสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์แก่ตน ปรัชญานี้เน้นแนวพุทธศาสนามาเป็นหลักในการพัฒนาการศึกษาไทยเพราะคนไทยมีความ ผูกพันและเน้นแฟ้นกับพุทธศาสนามาช้านานเราควรที่จะนำมาใช้ในการดำรงชีวิตและ แก้ปัญหาในทุกด้านของสังคม
ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ทรงมีแนวคิดที่ว่าการศึกษา คือ เครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา การศึกษาจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีส่วนสร้างสรรค์สังคม การศึกษามุ่งที่สร้างปัญญาและลักษณะของชีวิตให้ผู้เรียนสามารถดำรงชีวิตเพื่อตนเอง แนวทางด้านการจัดการศึกษามุ่งให้การศึกษาด้านวิชาการถ่ายทอดความรู้เพื่อขัดเกลาความคิด ประพฤติและคุณธรรม ให้มีความเข้าใจในหลักเหตุผล มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักรับผิดชอบตนเองให้ถูกต้องเป็นธรรม เน้นการเรียนรู้แบบหลากหลายวิชาการเพื่อที่จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับบริบทสังคม
ปรัชญาการศึกษาไทยตามพุทธธรรมจากการวิเคราะห์ของสาโรช บัวศรี
การพัฒนาการศึกษาด้วย ขันธ์ 5 เมื่อปฏิบัติตามชีวิตก็จะเป็นกุศลมูล สามารถทำให้บุคคลมีชีวิตที่ร่มเย็น เมื่อปฏิบัติตามทางสายกลาง เพื่อที่รู้จักตนเอง สิ่งแวดล้อม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อมเราก็จะค้นพบว่าเราถนัดทางด้านอะไร พร้อมทั้งพัฒนาจริยธรรมศึกษาไปด้วย เมื่อจัดการเรียนการสอนได้ด้วยอริยสัจ 4 เพื่อหาหนทางดับทุกข์ มีเหตุปัจจัยเหมือนกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อการศึกษาของไทยสามารถนำปรัชญานี้ไปพัฒนาได้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ในอนาคต
สรุป จะเห็นได้ว่าการศึกษาไทยมีวิวัฒนาการความเชื่อตามแนวทฤษฎีปรัชญาการศึกษาพื้นฐาน
ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ตอนต้น (ปรัชญาสารัตถนิยม ตรงที่ว่ามีครูเป็นต้นแบบและเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง) (ตามปรัชญาอัตนิยม นักเรียนตรงที่ว่า ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามความถนัดของตนเอง เช่น เลือกเรียน งานช่าง งานปั้น เลือกเรียนตามความพอใจ และสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้) (ตามปรัชญานิรันตรนิยม หลักสูตร ตรงที่ว่าให้ผู้เรียนเรียนรู้สิ่งที่ดีงามวัฒนธรรมขนบประเพณีที่สืบทอดกันมา) (พิพัฒนาการนิยม ตรงที่ว่า โรงเรียนเป็นแหล่งสร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตจริงให้แก่เด็ก)
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลายถึงปัจจุบัน เริ่มเป็นระบบมากขึ้น
เริ่มมีหลักสูตร โรงเรียน ครู ผู้บริหาร
เป็นรูปแบบมากขึ้นตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
จนถึงพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
การจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาตามตะวันตก เช่น ปรัชญาสารัตถนิยม
ปรัชญานิรันตรนิยม ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ.2475 เริ่มใช้ปรัชญาปฏิรูปนิยม
การศึกษาเพื่อสร้างสรรค์สังคมและมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสังคม
การพัฒนาการศึกษาก็ยังไม่เป็นผลก็เริ่มหันกลับมามองการถึงปัญหาการศึกษาไทย
ว่าควรที่จะนำแนวคิดทฤษฎีที่เหมาะสมกับสังคมไทยเพื่อให้การศึกษาไทย
เจริญก้าวหน้าและมีแนวทางเลือกที่มากขึ้น เพราะว่าไม่มีอะไรดีที่สุด และไม่มีอะไรเหมาะสมที่สุด ไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีอะไรถูกต้องที่สุด จึงเกิดทฤษฎีแนวคิดการศึกษาไทยมากมายที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็แล้วแต่การศึกษาจะประสบผลสำเร็จได้ต้องมีต้องมีสิ่งที่เกื้อหนุนเกื้อกูลกัน ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล ผู้บริหาร โรงเรียน ครู และนักเรียนต้องมีส่วนช่วยกันผลักดันให้การศึกษาไทยพัฒนาเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะครูซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่คอยชี้แนะแนวทางอบรมสั่งสอนทั้งด้านเนื้อหาวิชา และด้านคุณธรรมจริยธรรม ให้กับอนาคตของชาติต่อไป