ผมพา กลุ่ม Innovation Facilatator ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลาง ในเครือสยามซิเมนต์ ไปฝึกเพื่อเป็น "คุณอำนวย"
โดย เราไป ลดอัตตา ค้นหาตนเอง กันที่ ครูบาสุทธินันท์ จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยการไปอยู่ ไปทำงาน ไปพักแรม ที่สถานีเรียนรู้ต่างๆของครูบาฯ
หลังจากนั้น ก็พาพวกเขา เกือบ 30 ชีวิต ไปฝึกแนวจิตดูจิต กันในป่าช้า ที่วัดป่าธรรมอุทยาน กม 11 บ้านสำราญ อำเภอเมือง ขอนแก่น
ฝึกดูจิตไปด้วย ดูกายไปด้วย
สอนให้รู้จักเรื่อง ขันธ์ห้า โดยการ แสดงละคร ให้พวกเขาเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กิเลสต่างๆ สติน้อย และ เจ้าสติใหญ่(มหาสติ)
หลังการฝึกมี After Action Review หรือ Show & share กันด้วย ทำ World cafe ด้วย
น่าจะเรียกว่าเป็น "ธรรมะแบบ LO" อะไร ประมาณนั้น
ก่อนเข้าป่าช้า แบบทีละคน คนละ ประมาณ สั้น 1 ธูปหมดดอก ผมก็ฉาย ภาพยนต์ การผ่าชำแหละศพให้ดูก่อน
สร้าง สัญญา เพื่อว่า จะได้เอาปรุงแต่งในป่าช้า เป็นจิตหลอกจิต ทุกข์เพราะความคิด
ผมเน้น คำพูดของครูบาสุทธินันท์ที่ว่า "เมื่อคิดดี ก็จะได้คิด .... เมื่อได้คิด ก็จะคิดได้"แทบ จะตลอดเวลาที่มีโอกาส ในการทำ AAR ตามหลักการที่ว่า พูดและทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ ( จำมาจาก คำสอนของ ครูสมพรคนสอนลิง)
การไปป่าช้า ก็เพราะว่า มันช้า เราจะได้ดูขันธ์ห้าได้ทัน เพราะ ในชีวิตการทำงาน มันเป็นป่าเร็ว ขันธ์ห้าเกิดเร็วมาก ตามดูไม่ค่อยจะทัน
สรุปผล ติดตามผล พบว่า นิสัยเปลี่ยนไปครับ
วันที่ 23 พค ถึง 26 นี้ ก็จะ พวกพนักงานปูนแก่งคอย อีก 40 ชีวิต ไปฝึกในป่าช้า พวกนี้ คือ พวกที่ ฝึกแบบ Constructive Learning หรือ Action learning นาน 7 สัปดาห์ โดยไม่ต้องทำงานประจำเลย ฝึกเต็มๆ ได้เงินเดือนตามปกติ (คนปูนฯ ตราเสือ ตราช้าง ลงทุนเรื่องการพัฒนาคนจริงๆครับ ถ้าเป็นองค์กรแบบงกๆ เค็มๆ เถ้าแก่ คงไม่ยอมแน่ๆ และ น่าสงสารคนไทยในองค์กรต่างชาติ ที่เอาแต่ ให้คนไทยใช้แรงงาน ไม่พัฒนา และ หวงความรู้อีกต่างหาก)
ฝึกมา 12 รุ่นแล้ว นี่เป็นรุ่นที่ 13 จากการประเมินผล พบว่า การมาฝึกดูจิตในป่าช้านี้ ให้ผลแรงที่สุด เมื่อเทียบกับกิจกรมอื่นๆ เช่น เล่น Microworld / ต่อ Lego / ทำโครงงาน / เล่นเกมส์ แนว Strategies เป็นต้น
การเรียนรู้แบบเจาะลึกลงในดูกระบวนการภายในใจ ก็คือ ได้ศึกษาเชิงประจักษ์จนพบ การทำงานของขันธ์ห้า
เมื่อเรียนรู้ขันธ์ห้าแบบเข้าใจ (ไม่ใช่เข้าสมอง) แล้ว ก็เรียนรู้ที่จะละขันธ์ห้า นี่แหละ หนทางแห่งการหลุดพ้นที่แท้จริง
เมื่อรู้จักตนเอง รู้จักกระบวนการทำงานของขันธ์ห้า แยกแยะ จิต สติ ความคิด ทั้งสามตัวนี้ได้ว่า เป็นคนละเรื่อง คนละตัวกัน พวกเขาก็จะ รักษาสมดุลทางโลก ทางธรรมได้ เรียกได้ว่า "ทางโลกไม่บอบช้ำ ทางธรรมก็ไม่เสียหาย"
เมื่อเรียนรู้ว่า ที่ ทุกข์ ที่ตัดสินใจผิดพลาด ทำงานเผลอเรอ หมดมุข หมดปัญญา ฯลฯ ก็เพราะไม่รู้จักกระบวนการทำงานของขันธ์ห้านี่เอง
คนที่ทำ LO โดยไม่สอนเชิงประจักษ์เรื่อง จิต สติ ความคิด
ผมว่า เป็น LO แบบไร้รากฐาน แบบไม่ยั่งยืน ..... ล้มได้ง่ายๆครับ
ครูสมพรสอนลิง สอนเอาไว้ในเทปว่า " สติมา ปํญญาเกิด "
สวัสดีค่ะอาจารย์
เป็นหนึ่งในทีมที่ไปวัดธรรมอุทยานค่ะ ตอนนี้กลายเป็นคนใหม่ที่สามารถแยกจิตออกจากร่างค่ะ :) หลังจากกลับมาได้ฝึกพิจารณาดูขันธ์5 ตลอด ตามที่อาจารย์แนะแนวสั่งสอน มีปัญหาอยากปรึกษาอาจารย์ดังนี้คะ
1. การพิจารณาขันธ์5 นั้นให้ทำตลอดเวลา หรือทำเฉพาะตอนจิตเกิดคะ
2.ตอนจิตเกิด อาจารย์ให้ดูตามไปเรื่อยๆ จนมันดับไปเอง หรือจำเป็นต้องใช้การภาวนามาช่วยคะ
3.จะทราบได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นความคิดปรุงแต่ง(สังขาร)
และอันไหนเป็นความคิดจากจิตเกิด แยกไม่ค่อยได้ค่ะ
4. มีเพื่อนชวนไปปฏิบัติวิปัสสานากรรมฐานตามแนวท่านอาจารย์โกเฮนก้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะสอดคล้องกับแนวทางที่อาจารย์ได้แนะนำไว้แล้วหรือไม่ เป็นมือใหม่หัดขับค่ะ
รบกวนอาจารย์แนะนำด้วยค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
1 ทำได้ ตลอดเวลา
ตอนจิตว่าง ก็ให้รู้ว่าว่าง ครั้นพอ มีความคิดเข้ามา จรลี หรี่เข้ามา เป็นสังขาร เป็น Voice of judgement (เรียกว่า VOJ ตามที่ Peter Senge และ Otto Schamer สอนไว้) ก็ให้ ดูให้ทัน แยกแยะให้ออก ว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล
ส่วนใหญ่ เราจะดูความคิดไม่ทัน จิตเขาเข้าไปร่วมกับความคิดซะแล้ว ทั้ง อคติ ลำเอียง วิตก วิจารณ์ อดีต อนาคต ฯลฯ
ถ้าจิตเกิดไปแล้ว ก็ตามดู ว่า เข้าตั้งอยู่ และ ดับไปอย่างไร
เมื่อจิตว่างๆ ก็คิดอดีต อนาคตได้ทั้งนั้น เป็นความคิดที่ดี มีประโยชน์ เป็น intuition ครับ
เมื่อจิตเกิดอาการ อย่าคิดต่อ อย่าคิดต่อยอด ให้ หันมา ดูจิต หรือ โอปนยิโก
ถ้าจิตเกิดแรง ก็ใช้ สมถะ เช่น ดูลมหายใจ เดินจงกรม ฯลฯ
ถ้าจิตเกิดไม่แรง ก็ดูขันธ์ห้า ครับ
2 ถ้าตามดู ความคิดตอนจิตเกิดได้ เรียกว่า วิปัสสนา
กิเลส ที่เราตามดู มันจะอายครับ และ สุดท้าย มันจะไปจบลงที่ ไตรลักษณ์ จิตเขาจะเบื่อหน่าย กิเลสที่ผุดขึ้นมานั้นๆไป นี่แหละ ที่หลวงพ่อ หลวงปู่ ท่านวัด ขัดเกลากิเลสภายในใจ
ส่วนใหญ่ จะตามดูไม่ทันครับ มือใหม่ หัด ดับความคิด ทำจิตให้สงบ เช่น ใช้ สมถะไปก่อน จนกว่า จิตจะไม่เกิดรุนแรง เราก็ตามดู ขันธ์ห้า ดูความคิด ดูกาย ดูเวทนา ฯล ฯ
คำว่า ภาวนา ในความหมาย ที่แท้ คือ การ พัฒนา ภาวนา มาจากคำว่า พัฒนา ภาวนา คือ การชนะจิต ครับ ชื่อแบบนางเอก
การภาวนา ในความหมาย สวดมนต์ ดูลมหายใจ เป็นแค่ สมถะ เป็นแค่เทคนิคหนึ่งในการดับไม่ให้จิตเกิดอาการรุนแรง ดังที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น
ถ้าเป็นวิปัสสนา การภาวนา คือ การดูขันธ์ห้า ดูจิต ดูความคิดนั่นเอง
3 ความคิดปรุงแต่ง คือ ความคิด ที่เข้ามา ป่วน เข้ามา กระแทก ทำให้จิตเกิด
ลองไปที่ป่าช้า ครั้น ได้ยินเสียงกิ่งไม้ไหว จิตเกิดอาการกลัวทันที
ถ้าเรา slow motion จะพบว่า ก่อนที่เราจะกลัว จะมีความคิดปรุงแต่งเข้ามา เป็น 1 ใน ล้านวินาที เช่น ผี มันจะฆ่าเรา ฉันเกลียดมัน ฯลฯ
ลองเดินไปหา คนที่เราเกลียดสิครับ ทันทีที่เห็นหน้า จะเห็น "ความคิดอคติ" pop-up ขึ้นมา อย่างรวดเร็ว
ลองอ่าน หนังสือ "บริหารงาน บริหารใจ" ที่ผมเขียนไว้ โทรถามหา หนังสือที่ คุณริน 02 716 7275 -6