040 --คำสอน ฯ เกือบตายจริง ๆ


เรือปราบสลัด ท่าหลวง จันทรบุรี

 

คำสอน ฯ ผจญภัยอีกแล้ว 

     ในหัวข้อที่ 037 เรื่องผีลำเอียง ได้กล่าวถึง ลูกเสือคำสอน ฯ มาแล้ว  ตอนนี้จะเป็นตอนที่ ย้อนหลังจากนั้นไปอีก  คือตอนที่ คำสอนฯ ยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม 3 หรือ 4 ประมาณนั้น   เรื่องก็คึอ  เขากับเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกัน ของ ร.ร.เทศบาลในเมือง..ก็ประมาณปี พ.ศ. 2478-79หรืออาจจะถึง ปี 80  เห็นจะได้ ตอนนั้นพวกเขาอายุระหว่าง 9-10 ปี เท่านั้น และมักจะพากันแวะเล่นน้ำที่ ท่าอาบน้ำทั่วไป  ริมแม่น้ำจันทบุรี ระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังเลิกเรียนแล้ว ท่าน้ำแห่งนั้นชื่อว่า "ท่าหลวง"  อยู่ทางฝั่งตัวเมือง  เลยตลาด ไปไม่ใกลเท่าใหร่นัก  ท่าอาบน้ำแห่งนี้ ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงนิยมไปอาบน้ำในตอนเย็นเป็นประจำ

   วันนั้น   คำสอนฯ และเพื่อน ๆ อีก 4 คน ก็พากันแวะเล่นน้ำที่ท่าน้ำแห่งนี้อีกเช่นเคย   พวกเขาถอดเสื้อกางเกงและวางหนังสือเรียนไว้ริมตลิ่งท่าน้ำกองรวมกันไว้ แล้วพากันวิ่งโทง ๆ ไล่จับกันไปในตัวไปที่ริมนั้า แล้วพากันกระโดดลงไปในน้ำ ตามแบบที่แต่ละคนถนัด เช่นพุ่งหัวลงไปบ้าง ,กระโดดพร้อมงอเท้าขัดสมาสลงไปเสียงดัง  ตูม ๆ บ้าง หลังจากโผล่ขึ้นมาก็ว่ายเข้าฝั่งแล้วแข่งกันวิ่งขึ้นตลิ่งอีก  แล้ววิ่งไล่กันเจี้ยวจ้าวกลับลงน้ำอีกอย่างสนุกสนาน   คนที่วิ่งน้ำหน้าจะบอกว่า ใครวิ่งทันจะให้จับไอ้เปี้ยวที  คนข้างหล้งก็พยายามวิ่งไล่คนข้างหน้า  คนข้างหน้าก็วิ่งหนีไม่ยอมให้ใครจับไอ้เปี้ยวของตัวได้ง่าย   เมื่อโดนไล่ทันและถูกจับไอ้เปี้ยวได้ คนละนุบคนละนับคนถูกจับก็หันไปจับของคนอื่น ๆ บ้างเป็นพัลวัลพร้อมเสียงเฮฮาของทุกคน  จากนั้นต่างก็แยกกันวิ่งลงน้ำกันอีก  และทำวนเวียนเช่นนี้อีกอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

อันบริเวณที่พวกเขาพากันเล่นน้ำครั้งนี้  ใกล้กับเรือเอี่ยมจุ้นไม้ลำหนึ่งที่จอดอยู่นานแล้ว  ที่กราบเรือด้านหัวเรือ มีตัวหนังสือสีขาวขนาดใหญ่เขียนว่า "ปราบสลัด 1 " หัวเรือมีเชือกโยงมาผูกกับเสาไม้ใหญ่ที่ปักอยู่ใกล้ ๆ กัน  เรือลำนี้เป็นเรือของทางราชการจังหวัด ใช้สำหรับออกปราบพวกเรือโจรสลัดที่มักจะออกปล้นสดมภ์เรือต่าง ๆ ตามคุ้งน้ำห่างใกล หลายแห่งเป็นประจำ   เมื่อออกปฏิบัติการ  บนหัวเรือจะติดตั้งปืนกลเบา 1 กระบอก   ในตัวเรือ จะมีกรงเหล็กสำหรับขังพวกโจรที่จับได้ในระหว่างปราบปราม  1 กรง และห้องพักของเจ้าหน้าที่   มีกำลังเจ้าหน้าที่ 5-6 คนพร้อมอาวุธปืนยาวครบมือ   ยามเมื่อไม่มีภาระกิจใด ๆ เรือจะมาจอดอยู่ที่นี่เป็นประจำ   โดยไม่มีคนเฝ้า  ส่วนปืนกลที่ติดตั้งไว้ก็จะถูกถอดออกไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจ

คำสอนฯ และเพื่อน ๆ ต่างก็ชินกับการเห็นเรือลำนี้แล้ว และต่างก็ไม่เคยสนใจอะไรไปมากนัก  แต่วันนี้ พวกเขาเกิดสนใจขึ้นมา  อยากไปดูใกล้ ๆ ว่าบนเรือมีอะไรบ้าง  ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นความคิดของใคร  ที่แน่ ๆ ก็คือเมื่อใครเอ่ยขึ้นมา คนในกลุ่มก็เออออห่อหมกตามกันไปด้วยเสมอด้วย  ดังนั้น  ทุกคนจึงว่ายน้ำตามกันไปที่เรือปราบสลัด 1 แล้วว่ายจากหัวเรือไปอ้อมกลับที่ท้ายเรือ แล้วกลับจากท้ายเรือมาทางหัวเรืออีก ช่วงที่มาถึงกลางเรืออีกด้านหนึ่ง  มีเสาหลักเสาหนึ่งปักอยู่  หัวโจกของคณะโผเข้าไปเกาะเสานี้ไว้เป็นการพักเหนือย  คนอื่นๆ ก็ทำตาม  

ครู่ใหญ่  หลังจากหายเหนื่อยกันแล้ว  หัวโจก ออกความคิดว่า

" เราดำน้ำลอดท้องเรือกลับไปริมเรือฝั่งโน้นกันดีกว่า เร็วดีด้วย เอากันใหม "

" เอาซิ "

ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียว  เนื่องจากเห็นว่าน่าจะไม่ยากอะไรเลย แค่กราบเรือฝั่งโน้นเท่านั้นเอง สั้เนกว่าการว่ายอ้อมไปหัวเรือก่อนเป็นไหน ๆ  

"เอ้า, งั้นไปกันเลย"

หัวโจก บอก แล้วปล่อยมือจากหลักไม้ โผไปมุดหัวดำน้ำไปที่ใต้ท้องเรือทันที  อีก 3 คนต่างทำตาม   คำสอนฯ เป็นคนสุดท้ายที่มุดน้ำตามไป   ตอนแรก ๆ ยังมีความสว่างราง ๆ จากแสงอาทิตย์อยู่บ้าง แต่พอลึกลงไป ๆ ความสว่างนั้นก็ค่อยเลือนลาง พอต่อไปอีกก็มีแต่ความมีดมิดรอบตัว  คำสอนฯ เริ่มใจไม่ดี คิดในใจว่า ทำไมมันมืดจัง และนานนักนะ ต่อมาอีกพัก เมื่อยังไม่ถึงใต้ท้องเรือสักที  เขาก็เริ่มรู้สึกกลัวความมืดมิดรอบตัวนั้น และกลัวจะกลั้นใจได้ไม่นานพอจะไปโผล่อีกฟากหนึ่งของเรือได้  ซึ่งก็เท่ากับเขาจะต้องสำลักน้ำตายแน่ ๆ  

ตอนนี้เขาเริ่มกลัวตายขึ้นมาจริง ๆ   คิดตลอดเวลาว่าจะไปต่อหรือถอยกล้บดี   น้ำตอนนั้นนอกจากมืแต่ความมืดแล้วยังเย็นเยือกอีกต่างหาก  เขาคิดถึง ผีพราย ที่เคยคร่าชีวิตนักเล่นน้ำมานักต่อนัก  เขาไม่อยากเจอกับมัน   เขาคิด  ถ้าไปต่อมันจะมืดมิดอีกนานสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ที่แน่ ๆ เขาไม่รู้ว่าจะกลั้นใจได้พอหรือไม่  ถ้าถอยกลับ ก็น่าจะยังมีหนทางรอดได้ เพราะรู้ว่าเพิ่งดำลงมาได้ไม่นานเท่าไหร่  เขารู้สึกชัดว่าจะกลั้นหายใจได้อีกไม่นานนักจริง ๆ แล้ว  เห็นทีจะต้องกลับหลังดีกว่า   ว่าแล้วเขาก็หันหัวกลับพร้อมใช้เท้าถีบน้ำดันตัวขึ้นข้างบนตรงทางที่ผ่านมาทันที

อ้า...  น้ำที่มืดมิดเมื่อสักครู่นี้เริ่มมีความสว่างจากแสงอาทิตย์ขึ้นมาเรื่อ ๆ บ้างแล้ว  พร้อมกับความเยือกเย็นของน้ำรอบตัวค่อยๆคลายลงไป
เริ่มมีความหวังแล้วซิเรา  เขาคิดระคนดีใจไปในตัว  เขารวบรวมแรงที่มีอยู่ขณะนั้น งอเท้าถีบน้ำสุดแรงอย่างถี่ยิบเข้าไปอีก มือทั้งสองช่วยแหวกน้ำพาตัวไปข้างหน้าอีกกแรงหนึ่ง ขณะนั้นเขากลั้นใจแทบจะไม่อยู่แล้ว  แต่เขาก็ยังไม่พ้นใต้น้ำอยู่ดี  เขากลืนน้ำ 2-3  อึกจนได้   แม้จะเริ่มรู้สึกว่าแสงสว่างในน้ำเริ่มจะมีมากเกือบปรกติแล้วก็ตาม  

แว๊บหนึ่งเขาก็ต้องจำใจกลืนน้ำเข้าปากไม่รู้ว่ากี่อึกต่อกี่อึก  ป้องกันการขาดอากาศหายใจ  ก่อนจะถีบตัวเป็นครั้งสุดท้ายขึ้นไปโผล่บนผิวน้ำได้สำเร็จ  เขาสูดลมหายใจฮัก ๆ  หลายเฮือก  พร้อมกับความรู้สึกว่าเขารอดตายแน่นอนแล้ว   ขณะเดียวกันนั้น  ก็มีหัวใครคนหนึ่งโผล่หัวขึ้นมาใกล้ ๆ กับที่เขาโผล่หัวขึ้นก่อนหน้านี้    คน ๆ นั้นก็คือเพื่อนอีกคนหนึ่งที่คงไม่กล้าลอดใต้ท้องเรือเหมือนเขานั่นเอง  

คนทั้งสอง รอดูว่าจะมีใครโผล่ขึ้นมาอีกหรือไม่พักใหญ่  เมื่อมีท่าทีว่จะไม่มีใครมาอีกแล้ว  เขาทั้งสองจึงว่ายน้ำไปทางหัวเรือไปที่หลักผูกเชือกเรือ ก็พบเพื่อนคนเห็นหัวโจกเกาะหลักรออยู่แล้ว  ส่วนอีกคนหนึ่งยังไม่เห็น  ทั้ง 3 คนต่างใจหาย ด้วยกลัวเพื่อนคนนั้นจะจมน้ำตาย 

คนหัวโจกที่ว่ายน้ำเก่งกว่าเพื่อน บอกให้เราทั้ง2 คน รอที่เสา  ส่วนตัวเขาผละว่ายนำไปที่บริเวณกราบเรือตอนกลาง ๆ อีกครั้ง  ก่อนไป เขากำชับเราว่าถ้าเห็นนานเกินไปให้ไปตามคนมาช่วยทันที  แล้วเขาก็มุดน้ำตรงไปใต้ท้องเรืออีกทีเพื่อค้นหาเพื่อนที่หายไป  เขาเล่าภายหลังว่า พอดำลงไปใกล้ถึงท้องเรือก็กางแขนกางขาออกสุด ๆ แล้วหมุนตัวทางระดับหลายรอบ รอบสุดท้าย  เท้าไปกระทบกับส่วนหนึ่งของร่างของเพื่อน เขาจึงงอตัวเข้าไปจับไว้ก่อน จึงพบว่าเป็นร่างของเพื่อนที่ลอยติดอัดกับท้องเรือจริงๆ   ส่วนตัวเพื่อนนั้นสำลักน้ำพรืดพราดอยู่ และพยายามจะพาตัวขึ้นไปตามความลาดของท้องเรือแต่เขากินน้ำไปหลายอึกและเกือบหมดสติแล้ว   ร่างกายจึงแทบจะไม่ขยับเขยื้อน  เขารีบดึงแขนของเพื่อนที่หมดแรงจนตัวลอยอยู่เฉย ๆ ออกจากบริเวณใต้ท้องเรือตรงนั้น  กะพุ้ยน้ำพาร่างของเพื่อนขึ้นบนผิวน้ำอย่างไม่รอช้า   ขณะเดียวกัน คำสอนฯ และเพื่อนอีกคนที่รออยู่ที่หลักผูกเรือ  ได้พากันว่ายน้ำเข้าไปรอที่บริเวณกลางตัวเรือ เพื่อเตรียมช่วยเหลือเพื่อนอีกแรงหนึ่ง  ดังนั้น พอเพื่อนหัวโจกพาเพื่อนที่ติดอยู่ใต้ท้องเรือโผล่ขึ้นมา เขาทั้ง 2 ก็ไม่รอช้า เข้าไปช่วยประคองคนทั้งสองไว้ แล้วก็พากันว่ายน้ำเข้าหาตลิ่งที่ใกล้ที่สุดอย่างทุลักทุเล 

ขณะนั้นบนตลิ่ง, มีคนกลุ่มใหญ่ ยืนมุงกันอยู่ที่กองเสื้อผ้าของเด็ก ๆ ด้วยเห็นเสื้อผ้ากองอยู่เป็นเวลานานแต่ไม่เห็นมีเด็ก ๆ เล่นน้ำ ให้เห็น  ต่างก็กลัวว่าเด็ก ๆ เจ้าของกองเสื้อผ้าอาจมีอ้นตรายแล้ว จึงมีบางคนไปแจ้งตำรวจ และคนที่เหลือต่างก็เตรียมจะลงไปค้นหาอยู่แล้ว   เมื่อพวกเขาเห็นเด็ก ๆ ว่ายน้ำประคองกันเข้ามาที่ตลิ่ง  พวกผู้ใหญ๋ 2-3 คนพากันว่ายน้ำออกไปช่วยนำคนทั้งหมดขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย  จากนั้นก็ช่วยกันนำร่างของเด็กคนที่เกือบติดท้องเรือและกินน้ำไปจนท้องกาง ขึ้นเอาท้องเด็กพาดที่บ่า แล้วพาวิ่งกระโดดขึ้นกระโดดลงเขย่าให้น้ำในท้องเด็กกระอักออกมาทางปากหลาย ๆ ครั้ง จนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว  จึงเอานอนพักไว้  รอตำรวจและหมอจะมาช่วยนำไปส่งโรงพยาบาลต่อไป ก็เป็นอันพูดได้ว่า คำสอน ฯ เกือบตายจริง ๆ  แต่รอดตายหวุดหวิดเพราะความกลัวตายนั่นเอง

เรื่องการหนีไปเล่นน้ำหรือชวนกันไปเล่นน้ำตามลำพังของพวกเด็ก ๆ  ในปัจจุบ้นก็ยังมีอยู่มาก ที่จมน้ำตายก็มีเยอะ  พ่อแม่ที่ไม่รู้อะไรด้วยต้องมานั่งร้องไห้อาลัยลูกตาม ๆ กัน ก็มากต่อมาก

ตามเรื่องข้างต้น ที่เด็กชายคำสอนฯ กลัวผีพราย นั้น  สมัยนั้น คนยังไม่รู้จักตะคริวกันมากนัก  อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาเป็นตะคริวกินมากกว่าก็ได้  แต่เพราะหาสาเหตุไม่ได้จึงยกให้เป็นผีพรายรับไปแทน 

อนึ่ง น้ำในบึงหรือบ่อกว้างๆ นั้น ไม่มีที่ระบายน้ำไปไหนได้ น้ำในส่วนลึก ๆ และตอนกลาง ๆ จะเย็นมาก  เย็นจนทำให้คนที่ลงไปว่ายน้ำเล่นหรือว่ายน้ำข้ามคลองขณะมึนเมาเป็นตะคริวได้ง่ายกว่าน้ำบริเวณที่ตื้น ๆ   เด็ก ๆ จึงควรงดลงเล่นน้ำตามสถานที่ดังกล่าวตามลำพัง หรือแม้กับเพื่อน ๆ ก็ตามเถอะ  ท่านที่เคยเป็นตะคริวตามแขนขามาแล้ว  จะเข้าใจเรื่องนี้ดีว่ามันปวดเจ็บรวดร้าวสุดแสนจะทนได้แค่ไหน ขนาดที่เป็นบนบกยังต้องมีคนวิ่งมาช่วยนวดเฟ้นทายาหม่องบริเวณแขนขาที่เป็นกันเป็นพัลวัล  แล้วหลับตานึกดูก็แล้วกันว่าหากมีเพียงท่านคนเดียวในน้ำแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น  ท่านอาจจะพยายามยกมือไม้กวัดแกว่งร้องเรียกให้เพื่อนบนผั่งมาช่วย  แต่พวกเขาจะนึกว่าท่านแกล้งทำมากกว่า  สุดท้ายท่านก็หมดแรงกวัดแกว่งแขน และ.ค่อย ๆ หายลงไปใต้น้ำในที่สุด.......   

 ....................... 

หมายเลขบันทึก: 285062เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2009 16:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน 2012 22:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ตื่นเต้นดีจังครับ

เขียนเล่าได้ละเอียดดีมากครับ ทำให้ระลึกถึงเมื่อตอนที่เคยมีประสบการณ์จมน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่หน้าบ้าน วังหลัง

เห็นพรายน้ำเหมือนกันครับ

ถ้าไม่ได้ทิดพ่อช่วยชีวิตเอาไว้ ก็คงไม่มีวันนี้ครับ

ทิดลูกเอ้ย

ถ้าวันนั้นทิดพ่อช่วยลูกไม่ได้ป่านนี้ทิดพ่อคงโศรกเศร้าไม่หายหรอก เพราะทิดลูกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ นาทีที่ทิดพ่อพุ่งลงน้ำตามทิดลูกไปนั้น มันบอกไม่ถูกหรอกว่าคิดอะไรบ้าง รู้แต่ว่าต้องหาทิดลูกให้พบโดยเร็ว และการกางแขนกางขาสุดเหยียดของตัวเองแล้วหมุนตัวในระดับโดยรอบนั้นก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ โดยหวังผลว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของกายพ่อคงจะสัมผัสกับร่างของทิดลูกแน่ ๆ และก็เป็นเช่นนั้น คำบรรยายในเรื่องคำสอนฯ นี้ พ่อถ่ายทอดความรู้สึกและการกระทำจริง ๆ ตอนช่วยทิดลูกมาไว้ทั้งหมดตามจริง เพราะมันฝังใจพ่ออยู่ไม่เลือนรางแม้แต่น้อย แม้จะอายุยืนยาวนานไปจนถึง 100 ปีก็ตาม พ่อภูมิใจที่ได้ช่วยชีวิตรลูกเอาไว้

ทิดพ่อครับ

เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ลูกก็ไม่มีวันลืมครับ

ถ้าไม่ได้พ่อช่วยชีวิตในวันนั้น ก็คงไม่มีทุกๆ อย่างที่เป็นพลเดชในวันนี้ รวมทั้งเจ้าเต้ด้วย

ซึ่งมาเกิดด้วยบุญในแดนพุทธภูมิ

ในการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาในปี 2550 จึงได้ตั้งใจชวนพ่อไปบวชด้วย

ชวนแม่ไปร่วมขบวนบวชด้วย

จำได้ว่ากว่าจะได้บวชในครั้งนั้น ผ่านอุปสรรคทั้งที่มองเห็น ทั้งที่มองไม่เห็นมากมาย

แต่ด้วยความตั้งใจจริงที่อยากจะให้พ่อแม่ได้บุญตรงนั้นด้วยจึงอดทนและผ่านทุกอย่างมาได้

ในวันแม่ที่จะถึงนี้ 12 สค. 2552 นอกจากสำนึกในพระคุณของแม่แล้ว ก็ขอสำนึกในพระคุณของพ่อด้วยครับ ที่นอกจากจะให้กำเนิดชีวิตแล้วยังได้ให้ชีวิตโดยการช่วย....อีกหลายครั้งหลายครา

ต้องบอกว่าเป็นบุญของพลเดช ที่มีคุณพ่อและคุณแม่ที่ประเสริฐยิ่ง

กราบขอบพระคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท