สรุป
1.การตัดสินใจ(Decision)คือ
ความหมายของการตัดสินใจ
นักวิชาการได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันดังนี้
-บาร์นาร์ด
(Barnard)
ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจว่าเป็นเทคนิควิธีที่ลดทางเลือกลงมาให้เหลือเพียงทางเดียว
-ไซมอน (Simon) ได้ให้ความหมายว่า การตัดสินใจ
เป็นกระบวนการของการหาโอกาสที่จะตัดสินใจ การหาทางเลือกที่พอเป็นไปได้
และทางเลือกจากงานต่าง ๆ ที่มีอยู่
-มูดี (Moody) ได้ให้ความหมายว่า
การตัดสินใจเป็นการกระทำที่ต้องทำเมื่อไม่มีเวลาที่จะหาข้อเท็จจริงอีกต่อไป
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อใดถึงจะตัดสินใจว่าควรหยุดหาข้อเท็จจริง
แนวทางแก้ไขจะเปลี่ยนแปลงไปตามปัญหาที่ต้องการแก้ไข
ซึ่งการรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับการใช้จ่ายและการใช้เวลา
-กิบสันและอิวาน เซวิช (Gibson and Ivancevich)
ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจไว้ว่า
เป็นกระบวนการสำคัญขององค์การที่ผู้บริหารจะต้องกระทำอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร
(information) ซึ่ง ได้รับมาจากโครงสร้างองค์การ พฤติกรรมบุคคล
และกลุ่มในองค์การ
-โจนส์ (Jones)
ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจองค์การว่าเป็นกระบวนการ
ที่จะแก้ไขปัญหาขององค์กร
โดยการค้นหาทางเลือกและเลือกทางเลือกหรือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การที่ได้กำหนดไว้
ดังนั้นกล่าวได้ว่า การตัดสินใจ คือ
ผลสรุปหรือผลขั้นสุดท้ายของกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลเพื่อเลือกแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์
ทรัพยากร และบุคคล
สามารถนำไปปฏิบัติและทำให้งานบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
การตัดสินใจ
เป็นส่วนหนึ่งของบทบาทของผู้บริหารที่เกิดจากตำแหน่งและอำนาจที่เป็นทางการ
คือบทบาทการเป็นผู้ประกอบการ(Enterpreneur)
บทบาทผู้จัดการสถานการณ์ที่เป็นปัญหา(Disturbance
Handler) บทบาทผู้จัดทรัพยาการ(Resource Allocator)
และบทบาทผู้เจรจาต่อรอง(Negotiator)
2.ความสำคัญของการตัดสินใจ(Decision)
ทฤษฎีการบริหารองค์การในยุคหนึ่งได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร
(Management Process) อันได้แก่ การวางแผน การจัดการองค์การ
การบริหารงานบุคคล การอำนวยการและการควบคุม
ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดไปว่า
แม้ว่าจะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ดีเพียงใดก็ตามแต่ถ้าขาดการตัดสินใจที่ดีพอแล้วยากที่จะทำให้การบริหารองค์การสู่ความสำเร็จได้
การตัดสินใจจึงมีความสำคัญ 4 ประการ
ดังนี้
1.การตัดสินใจเป็นเครื่องวัดความแตกต่างระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
ผู้ที่เป็นผู้บริหารในระดับต่าง ๆ จะต้องแสดงความรู้
ความสามารถในการตัดสินใจที่ดีกว่าผู้ปฏิบัติงาน
ผู้บริหารจะต้องมีเหตุผล มีหลักการ มีเจตคติและวิจารณญาณที่ดีกว่า
ความสามารถในการตัดสินใจคือมูลค่าเพิ่มที่ผู้บริหารต้องทำให้เห็นว่า
นี่คือความแตกต่างที่สมแล้วกับค่าจ้างเงินเดือนในตำแหน่งผู้บริหาร
2.การตัดสินใจเป็นมรรควิธีนำไปสู่เป้าหมายองค์การ
ผู้บริหารควรตระหนักเสมอว่า
การตัดสินใจมิใช่เป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง แต่เป็นมรรควิธี แนวทาง
วิธีการและเครื่องมือที่จะทำให้การบริหารองค์กรประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
ดังนั้น
การกำหนดเป้าหมายองค์การให้ชัดเจนก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเริ่มต้น
การหาวิธีการและแนวทางปฏิบัติที่หลากหลายก็เป็นขั้นตอนที่กระทำตามมา
และนี่คือการตัดสินใจนั่นเอง การกำหนดแนวทางวิธีการที่ดี
ที่หลากหลายและสร้างสรรค์จะนำพาให้องค์การสู่ความสำเร็จได้
3.การตัดสินเป็นเสมือนสมองขององค์การ
การตัดสินใจที่ดีก็เหมือนกับคนเรามีสมอง
และระบบประสาทที่ดีก็จะทำให้ตัวเราประสบผลสำเร็จในชีวิตการงาน
ชีวิตส่วนตัวและชีวิตทางสังคมได้
ในขณะเดียวกันถ้าเป็นการตัดสินใจขององค์กรที่ดีก็จะต้องมีสมอง
และระบบประสาทขององค์กรที่ดีด้วยจึงจะทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลได้ ผู้บริหารที่ดีจะต้องกระตือรือร้น
ใฝ่หาแนวทางแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา
จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงสถานการณ์
กำหนดแนวทางใหม่ๆ
ยกระดับมาตรฐานและป้องกันปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามแผนที่กำหนดไว้ได้
4.การตัดสินปัญหาเป็นกลยุทธ์การแก้ปัญหาในอนาคต
ในทฤษฎีการตัดสินใจทั่วไปมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาในอดีต
ซึ่งได้แก่ปัญหาข้อขัดข้องซึ่งมีสะสมมาตั้งแต่ในอดีต
และมีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต
ซึ่งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้หมดสิ้นและยังมีปัญหาใหม่ ๆ
เข้ามาอีกมากมาย โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกรอบแนวคิด (paradigm)
ในการมองปัญหาใหม่ให้มองไปถึงปัญหาในอนาคต
ซึ่งได้แก่ปัญหาป้องกัน รู้แล้วว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ก็ควรมีการตัดสินใจล่วงหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น
ปัญหาเชิงพัฒนาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้บริหารต้องให้ความสนใจ
เป็นการมองโดยใช้วิสัยทัศน์ (vision)
ของผู้บริหารในการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต กำหนดภาพอนาคต
(scenario)
ไว้พร้อมกำหนดทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาในแต่ละภาพอนาคตนั้นด้วย
อาทิ ภาพอนาคตมุ่งเน้น 3 C ได้แก่ ลูกค้า
(Customer) การแข่งขัน (Competition)
และการเปลี่ยนแปลง (Change)
ดังนั้นผู้บริหารเตรียมการที่จะคิดวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ในเรื่องดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ในการบริการลูกค้าเหนือความคาดหวัง
กลยุทธ์การแข่งขันสู่ความเป็นเลิศ และกลยุทธ์สู่องค์การอัจฉริยะ
เป็นต้น
3.กระบวนการตัดสินใจ(Process
of decision making)
กระบวนการตัดสินใจ
(Process of decision making) หมายถึง
การกำหนดขั้นตอนของการตัดสินใจตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
การตัดสินใจโดยมีลำดับขั้นของกระบวนการ ดังกล่าว
เป็นการตัดสินใจโดยใช้หลักเหตุผลและมีกฎเกณฑ์
ซึ่งเป็นการตัดสินใจโดยใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือช่วยในการหาข้อสรุปเพื่อการตัดสินใจ
ขั้นตอนของกระบวนการตัดสินใจมีอยู่หลายรูปแบบ
แล้วแต่ความคิดเห็นของนักวิชาการ พลันเกต และแอ็ตเนอร์
(Plunkett and Attner, 1994:162)
ได้เสนอลำดับขั้นตอนของกระบวนการตัดสินใจเป็น 7
ขั้นตอน ดังนี้ อ้างจาก
กุลชลี ไชยนันตา (2539:135-139)
ขั้นที่ 1 การระบุปัญหา (Define the problem)
เป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญอย่างมาก
เพราะการระบุปัญหาได้ถูกต้องหรือไม่ ย่อมมีผลต่อการดำเนินการในขั้นต่อ
ๆ ไปของกระบวนการตัดสินใจ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการตัดสินใจด้วย
ขั้นที่ 2 การระบุข้อจำกัดของปัจจัย (Indentify
limiting factors) เมื่อสามารถระบุปัญหาได้ถูกต้องแล้ว
ผู้บริหารควรพิจารณาถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ขององค์การ
โดยพิจารณาจากทรัพยากรซึ่งเป็นองค์ประกอบของกระบวนการผลิต ได้แก่
กำลังคน เงินทุน เครื่องจักร สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ
รวมทั้งเวลาซึ่งมักเป็นปัจจัยจำกัดที่พบอยู่เสมอ ๆ
การรู้ถึงข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
จะช่วยให้ผู้บริหารกำหนดขอบเขตในการพัฒนาทางเลือกให้แคบลงได้
ตัวอย่างเช่น
ถ้ามีเงื่อนไขว่าต้องส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าภายในเวลา 1
เดือน
ทางเลือกของการแก้ไขปัญหาการผลิตสินค้าไม่เพียงพอที่มีระยะเวลาดำเนินการมากกว่า
1 เดือน ก็ควรถูกตัดทิ้งไป
ขั้นที่ 3 การพัฒนาทางเลือก (Develop potential
alternatives) ขั้นตอนต่อไป ผู้บริหารควรทำการพัฒนาทางเลือกต่าง
ๆ ขึ้นมา
ซึ่งทางเลือกเหล่านั้นควรเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพและมีความเป็นไปได้
ในการแก้ปัญหาให้น้อยลงหรือให้ประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างเช่น
กรณีที่องค์การประสบปัญหาเวลาการผลิตไม่เพียงพอ
ผู้บริหารอาจพิจารณาทางเลือกดังนี้ 1)
เพิ่มการทำงานกะพิเศษ 2)
เพิ่มการทำงานล่วงเวลาโดยใช้ตารางปกติ 3)
เพิ่มจำนวนพนักงาน หรือ 4) ไม่ทำอะไรเลย
ในการพัฒนาทางเลือกผู้บริหารอาจขอความคิดเห็นจากนักบริหารอื่น ๆ
ที่ประสบความสำเร็จทั้งภายในและภายนอกขององค์การ
ซึ่งอาจใช้วิธีการปรึกษาหารือเป็นรายบุคคล
หรือจัดการประชุมกลุ่มย่อยขึ้น
ข้อมูลที่ได้รับจากบุคคลเหล่านั้นเมื่อผนวกรวมกับสติปัญญา ความรู้
ความสามารถ
ความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ของตนเองจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถพัฒนาทางเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์ทางเลือก (Analyze the
alternatives) เมื่อผู้บริหารได้ทำการพัฒนาทางเลือกต่าง ๆ
โดยจะนำเอาข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือกมาเปรียบเทียบกันอย่างรอบคอบ ทางเลือกบางทางเลือกที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดขององค์การก็อาจทำให้เกิดผลต่อเนื่องที่ไม่พึงประสงค์ตามมา
เช่น ทางเลือกหนึ่ง ของการเพิ่มผลผลิต
ได้แก่การลงทุนติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้แก้ปัญหาได้
แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการลดลงของขวัญกำลังใจของพนักงานในระยะต่อมา
เป็นต้น
ขั้นที่ 5 การเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด (Select
the best alternative) เมื่อผู้บริหารได้ทำการ
วิเคราะห์และประเมินทางเลือกต่าง ๆ แล้ว
ผู้บริหารควรเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือกอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดเพียงทางเดียว
ทางเลือกที่ดีที่สุดควรมีผลเสียต่อเนื่องในภายหลังน้อยที่สุด
และให้ผลประโยชน์มากที่สุด
แต่บางครั้งผู้บริหารอาจตัดสินใจเลือกทางเลือกแบบประนีประนอมโดยพิจารณาองค์ประกอบที่ดีที่สุดของแต่ละทางเลือก
ขั้นที่
6 การนำผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ (Implement the decision)
เมื่อผู้บริหารได้ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ก็ควรมีการนำผลการตัดสินใจนั้นไปปฏิบัติ
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้บริหารควรกำหนดโปรแกรมของการตัดสินใจ
โดยระบุถึงตารางเวลาการดำเนินงาน งบประมาณ
และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ
ควรมีการมอบหมายอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน
และจัดให้มีระบบการติดต่อสื่อสารที่จะช่วยให้การตัดสินใจเป็นที่ยอมรับ
นอกจากนี้ผู้บริหารควรกำหนดระเบียบวิธี กฎ และนโยบาย
ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นที่ 7 การสร้างระบบควบคุมและประเมินผล
(Establish a control and evaluation system)
ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการตัดสินใจ ได้แก่
การสร้างระบบการควบคุมและการประเมินผล
ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
ข้อมูลย้อนกลับจะช่วยให้ผู้บริหารแก้ปัญหาหรือทำการตัดสินใจใหม่ได้โดยได้ผลลัพธ์ของการปฏิบัติที่ดีที่สุด
4.ทฤษฎีการตัดสินใจ ประกอบด้วย ยกตัวอย่างมาพอประมาณ พร้อมบอกแนวคิดของทฤษฎี
วุฒิชัย จำนงค์ (2523) กล่าวว่า การตัดสินใจเป็นเรื่องของการจัดการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และในการจัดการนั้น การตัดสินใจเป็นหัวใจในการปฏิบัติงานทุกๆ เรื่องทุกๆ กรณีเพื่อดำ เนินการไปสู่วัตถุประสงค์ อาจมีเครื่องมือมาช่วยในการพินิจพิจารณา มีเหตุผลส่วนตัวอารมณ์ ความรักใคร่ ชอบพอ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ และมีลักษณะเป็นกระบวนการอันประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ต่อเนื่องกันไป ดังนี้
1) การแยกแยะตัวปัญหา(problem identification) ในขั้นตอนแรกของการตัดสินใจนั้น จึงเป็นเรื่องราวของการสร้างความแน่ใจ มั่นใจ โดยการค้นหาความเข้าใจกับตัวปัญหาที่แท้จริง ก็เพราะเหตุว่ากระบวนการตัดสินใจจะเริ่มต้นตามขั้นตอนแรก เมื่อผู้ทำ การตัดสินใจมีความรู้สึกว่าได้เกิดปัญหาขึ้นมา นั่นก็คือ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในว่าได้มีปรากฎบางสิ่ง บางอย่างมิได้เป็นไปตามที่คาดคิด
2) การหาข่าวสารที่เกี่ยวกับตัวปัญหานั้น(information search) การเสาะหาข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวปัญหานั้นก็คือ การเสาะหาสิ่งที่เป็นสาเหตุหรือสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหานั้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงก็ได้
3) การประเมินค่าข่าวสาร(evaluation of information) เป็นความจำ เป็นที่จะต้องประเมินค่าดูว่า ข่าวสารที่ได้มานั้นถูกต้อง เหมาะสมเพียงพอตรงกับเวลา และสามารถที่จะนำไปวิเคราะห์ปัญหาได้หรือไม่
4) การกำหนดทางเลือก(listing alternative) เป็นขั้นตอนสำคัญของการตัดสินใจ คือ การกำหนดทางเลือกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นการที่พยายามจะครอบคลุมวิถีทางที่จะแก้ปัญหาได้หลาย ๆ วิธีถ้าเรามีข่าวสารสมบูรณ์สำหรับปัญหาแต่ละเรื่อง เราอาจจะกำหนดทางเลือกได้เหมาะสมและครอบคลุมอย่างแท้จริงได้
5) การเลือกทางเลือก(selection of alternative) เมื่อได้กำหนดทางเลือกต่างๆออกมาแล้ว พร้อมทั้งกำหนดลำ ดับความสำคัญและความเหมาะสมในการแก้ปัญหา ขั้นตอนต่อไป คือ การเลือกทางเลือกที่จะปฏิบัติการต่อไป (selection of a course of action) และขั้นนี้เองที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นการตัดสินใจอย่างแท้จริง
6) การปฏิบัติตามการตัดสินใจ(implement of decision) เมื่อทางเลือกได้ถูกเลือกเข้ามาแล้ว ก็เป็นการปฏิบัติตามผลของการตัดสินใจหรือทางเลือก
5. ปัญหาและอุปสรรคในการตัดสินใจ
เมื่อทางเลือกของการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจดำเนินงานต่าง ๆ
ได้ถูกเสนอแนะโดยกลุ่มหรือโดยผู้นำ ทางเลือกเหล่านี้ก็จะถูกประเมิน
จากนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือสมาชิกของกลุ่มเห็นพร้องต้องกันมากที่สุดก็จะได้รับการเลือก
ในกระบวนการนี้ผู้นำพึงต้องรู้ถึงอุปสรรคหรือสิ่งที่สามารถจะบั่นทอนประสิทธิภาพของการเลือกทางเลือกของกลุ่มลงไปได้
ซึ่งได้แก่ ยุคล์
(Yukl, 1989 : 253-261)
1. การเร่งรีบตัดสินใจ (Hasty
Decision)
การรีบเร่งทำการตัดสินใจคือการตัดสินใจที่ไม่ได้มีการประเมินทางเลือกต่าง
ๆ ให้ดีก่อนทำการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของการตัดสินใจ
แม้นว่าจะได้มีการหาทางเลือกมาอย่างมี ประสิทธิภาพก็ตาม
สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความรีบเร่งในการตัดสินใจของกลุ่มก็คือกลุ่มที่มีลักษณะ
ความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน หรือกลุ่มที่เป็นพรรคพวกเดียวกัน
ซึ่งเป็นทางหนึ่ง
ประการที่สองที่ทำให้รีบเร่งในการตัดสินใจของกลุ่ม คือเวลา
โดยเฉพาะเมื่อการตัดสินใจกระทำใกล้ ๆ จะได้เวลาปิดการประชุม
ทุกคนจึงมักต้องการให้เสร็จสิ้นไป
ไม่อยากให้เลื่อนไปพิจารณาในคราวหน้า
หรือต้องมีการประชุมเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2.
ความไม่สมบูรณ์ของการมีส่วนร่วม (Incomplete
Participation)
หรือการไม่มีส่วนร่วมจริงของสมาชิกในการตัดสินใจ
กรณีนี้เกิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกของกลุ่มบางส่วนไม่มีโอกาสหรือไม่อยากแสดงความคิดเห็น
ทั้งนี้เพราะมีสมาชิกของกลุ่มบางคน
แสดงการสนับสนุนต่อทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งอย่างจริงจังและเคร่งเครียด
จนทำให้พวกเขาไม่อยากโต้แย้งจึงเงียบเฉย
โดยเฉพาะเมื่อผู้ให้การสนับสนุนนั้นมีตำแหน่งหน้าที่ค่อนข้างสูง
หรือการได้รับความเห็นชอบจากผู้นำของกลุ่ม
ซึ่งการเงียบของสมาชิกบางส่วนทำให้ผู้นำและสมาชิกคนอื่นๆ
ลงความเห็นว่านั่นคือการเห็นชอบด้วย
ซึ่งตามความเป็นจริงอาจจะไม่เห็นด้วย
ดังนั้นประชามติของการตัดสินใจจึงเป็นประชามติที่ผิด (False
Consensus) อันทำให้คุณภาพของการตัดสินใจต่ำได้
และไม่เป็นที่ยอมรับของสมาชิกบางทีที่เงียบได้ (Silent
Majority) ผู้นำสามารถจะทำให้การมีส่วนร่วมสมบูรณ์ได้
โดยการสนับสนุนให้สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและประเมินแต่ละทางเลือก
โดยป้องกันไม่ให้มีการแสดงอาการขู่เข็ญ พูดเย้ยหยัน
หรือขู่สมาชิกที่โต้แย้งได้
3. การแบ่งกลุ่มหรือแบ่งพวก
(Polarization)
การแบ่งกลุ่มหรือแบ่งพวกจะเกิดขึ้นเมื่อในกลุ่มตัดสินใจ
เมื่อสมาชิกมีความคิดเห็นในแนวทางเลือกต่างกันแค่ 2
แนวทางอย่างชัดเจน
และต่างฝ่ายก็สนับสนุนทางเลือกของตนอย่างเอาจริงเอาจังและเคร่งเครียด
โดยไม่สนใจที่จะพิจารณาในส่วนดีของทางเลือกของอีกฝ่ายหนึ่ง
ไม่มีใครสนใจในส่วนที่เหมือนกันของทางเลือกทั้งสอง
แต่จะหาทางโจมตีจุดอ่อนของกันและกัน การต่อสู้ด้วยอารมณ์จะมีมาก
บางทีกว่าความสนใจในเป้าหมายของการตัดสินใจ
สมาชิกแต่ละฝ่ายจะแย่งกันพูด พูดสอดแทรกอีกฝ่ายหนึ่ง
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สนใจว่าพูดว่าอะไร
ต่างก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไรในที่สุด
4.
การวางแผนปฏิบัติการ (Superficial Action
Planning)
ขั้นสุดท้ายของการตัดสินใจโดยกลุ่มก็คือการกำหนดแผนที่ทำการตัดสินใจไปสู่การปฏิบัติหรือแผนปฏิบัติการดังนั้นในทางเลือกควรมีรายละเอียดแต่ละขั้นตอนค่อนข้างละเอียด
วิธีการติดตามดูความก้าวหน้าก็ควรถูกกำหนดไว้ด้วย
เพราะว่าการตัดสินใจถึงแม้จะดีอย่างไรก็พบว่าไม่สามารถประสบความสำเร็จได้
เพราะไม่มีสมาชิกคนใดสนใจหรือใส่ใจจะนำไปปฏิบัติ
แผนปฏิบัติการจึงนับว่าสำคัญมาก
เพราะจะสามารถบอกว่าอะไรอาจจะเกิดจากความผิดพลาดได้ในขั้นตอนปฏิบัติเหตุการณ์เหล่านั้นเราควรจะหาวิธีการป้องกันอย่างไรไว้ล่วงหน้าและจะหลีกเลี่ยงการสูญเสียจากเหตุการณ์ที่ต้องเกิดให้น้อยที่สุดอย่างไร
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งของแผนปฏิบัติการคือ
การต้องกำหนดหรือพิจารณามอบหมายให้บุคคลรับผิดชอบกิจกรรมแต่ละส่วน
เพื่อให้การตัดสินใจประสบความสำเร็จตามต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องถามสมาชิกในที่ประชุมว่าบุคคลใดจะรับผิดชอบส่วนไหน
จึงทำให้เห็นชัดได้เลยว่าถ้าผู้ปฏิบัติได้เป็นผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ทางเลือกก็จะถูกนำไปปฏิบัติด้วยความเข้าใจอันถูกต้อง
และมีความรู้สึกรับผิดชอบมากขึ้น เพราะได้ร่วมในการเลือกทางเลือกด้วย
แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติโดยตรง ผู้ที่จะมอบหมายต้องให้ข้อมูลอย่างดี
และต้องสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย
เพื่อการยอมรับในผลการตัดสินใจและเต็มใจที่จะรับผิดชอบปฏิบัติตามอย่างเต็มความสามารถ
มาทักทายพี่เป๊าะ
เห็นด้วยจ๊ะ
ได้ความรู้ครับ ผมก็จะเอาไปใช้ด้วย
เรียนโทรัฐศาสตร์รามอยู่คะ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง.............ขอคำแนะนำ
ทำรายงานการตัดสินใจด้วยค่ะ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา นักคิดแต่ละคน
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ค่ะ
ได้รับความรู้มากมาย เเละสามารถนำไปใช้ได้
ขอความอนุเคราะห์ขอข้อมูลเพิ่ม จากที่ผมอ่าน มันข้อมูลที่ดีมากเลยครับ ผมจึงขออความอนุเคราะห์ข้อมูล หัวข้อของ บาร์นาร์ด Barnard ไซมอน Simon มูดี Moody เซวิช Gibson and Ivancevich และ Jones ที่ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจไว้ มันอยู่ช่วงปี คศ ไหนบ้างครับ ผมจะนำไปใช้ประกอบในงานวิจัยครับ ขอบพระคุณครับ