กระแสแห่งเหตุปัจจัยของการเคลื่อนไปแห่งวิถี R2R


กับดักที่ทำให้คนหน้างานตกลงไปในมายาคติ คือ ความอยากได้ผลตอบแทน ผลตอบแทนนั้นอาจเป็นไปได้ทั้งตัวเงิน โล่ห์ และที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า คือ ชื่อเสียง เกียรติยศ และอำนาจแห่งการครอบงำ ...

 

อันหลังนี่ทำให้เกิดการเบียดเบียนกันของมนุษยชาติ เพราะอำนาจแห่งความเป็นเจ้านายและลูกน้อง ...เป็นอำนาจที่แฝงอยู่ภายใต้ของเงินตรา การตัดสิน และที่สุดแล้วคือ การชดเชยสภาวะทุกข์ของผู้ที่เชื่อว่าตนมีอำนาจ

 

การปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เคลื่อนไปสู่อิสระอย่างแท้ ... ผ่านการงานนั้น คือ การน้อมนำผู้คนเคลื่อนไปสู่การสร้างเหตุแห่งปัจจัยใหม่ อันเป็นเหตุแห่งปัจจัยที่ดีที่งาม ที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของคนทำงาน ให้ก้าวผ่านสภาวะแห่งมายาคติที่คอยดึงรั้งคนหน้างานไม่ติดอยู่ในกับดัก อันนำไปสู่ความทุกข์ตรมของคนหน้างานทำให้ชีวิตนี้ปราศจากแสงสว่างแห่งการดำรงอยู่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ขัดเคือง ริษยา แก่งแย่ง เอาเปรียบ ด่าทอ และอีกต่างๆ มากมาย ...ที่เป็นสภาพที่สะท้อนสภาวะทุกข์ในใจของผู้คนออกมา...

 

การขับเคลื่อนการทำ R2R ...

เป็นสภาวะที่น่าจะเป็นการสนับสนุนวิถีแห่งการงาน ที่เป็นหนทางแห่งการปลดปล่อยผู้คนให้หลุดออกจากหลุมดำที่เป็นเสมือนกับดักที่นำผู้คนไปสู่สภาวะความทุกข์ในการทำงาน ให้แปรเปลี่ยนไปสู่แสงสว่างแห่งความสุข

 

การทำ R2R เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการงาน ที่มองเห็นโอกาสแห่งการพัฒนาการงานที่ตนเองดำรงอยู่ เพื่อให้ได้นำไปสู่การเรียนรู้หนทางและวิถีแห่งการทำให้การงานของตนเองนั้นเจริญขึ้น อันเป็นความเจริญที่ไม่ได้มาจากว่าผู้บริหาร หรือเจ้านายมองเห็น ไม่ได้เป็นความเจริญที่มาจากว่าได้ค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้มาจากที่ได้ความสรรเสริญเยินยอ หากแต่เป็นความเจริญที่ได้สร้างประโยชน์อันเป็นคุณค่าที่เป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ และวิถีแห่งการดำรงอยู่...

 

ดังนั้น...

การนำแนวคิด R2R มาขับเคลื่อนพัฒนางานประจำที่ทำอยู่นั้น จึงน่าจะเป็นหนทางเพื่อปลดปล่อยและให้คนหน้างานได้ลิ้มรสพลังแห่งความสุขที่มาจากการถูกครอบงำจากสภาวะแห่งหลุมดำต่างๆ ที่คอยดึงรั้งผู้คนให้ตกลงไป

 

การได้เริ่มต้น R2R ด้วยใจ...ที่มีศรัทธาที่ดีที่งามที่ปรารถนาอยากทำ

เป็นความอยากทำที่มาจากความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นได้เกิดความสุขความสบายอันมาจากผลลัพธ์การทำงานที่เราได้พัฒนา

 

เราอาจไม่เชี่ยวชาญในการทำวิจัย แต่การทำงานวิจัยไม่ใช่คำตอบที่สุดของการทำ R2R กระบวนการแห่งการวิจัยมีเนียนเนื้ออยู่ในวิถีของความเป็นมนุษย์ที่สามารถคิดได้คิดเป็นอยู่แล้ว ... ความไปติดอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ดั่งเช่น ในสิ่งที่เข้าใจว่าคนทำวิจัยได้ต้องเป็นคนที่มีความรู้ในการทำวิจัย เป็นคนที่เรียนจบมาสูงๆ... หรือเรียนในระดับปริญญาตรีขึ้นไปนั้น ... ในทัศนะของข้าพเจ้ามองว่านั่นน่ะ คือ หลุมดำที่เป็นกับดักดักคนหน้างานให้ตกลงไปในความคิดดังกล่าว...

 

หรือแม้แต่ว่า การทำ R2R ต้องคอยให้นายสั่งให้ทำ หรือให้เงินทำ จึงจะสามารถทำได้ นั่นน่ะยิ่งทำให้เห็นการสะท้อนถึงการลดทอนคุณค่าแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนหน้างานเป็นอย่างยิ่ง

ในการขับเคลื่อนการทำงานด้วยการนำแนวทางการพัฒนางานประจำด้วยการทำวิจัยนั้น เป็นกระบวนการที่สนับสนุนให้คนหน้างานคิดได้คิดเป็น และเป็นการคิดที่เป็นแบบโยนิโสมนสิการ อันเป็นการคิดที่สะท้อนและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหน้างานของเขาเหล่านั้นได้ด้วยหนทางที่เป็นมรรควิธีที่นำไปสู่การทำให้ปัญหา(ทุกข์)จากการงานเบาบางและลดลง

 

ดังนั้นการขับเคลื่อนไปของการทำ R2R นั่นน่ะ

จึงเป็นเสมือนการสร้างเหตุแห่งปัจจัยใหม่...ที่นำพาผู้คนได้เคลื่อนไปสู่สภาวะที่เรียกว่าอิสระภาพ... อิสระภาพจากการถูกขุมขังด้วยมายาคติต่างๆ ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้...

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #km#r2r#อิทัปปัจจยตา
หมายเลขบันทึก: 284623เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2009 11:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

การค้นหาความจริงอย่างมีระบบ หลุดพ้นจากอคตินั่นคือสุดยอดการวิจัย

เป็นอิสระแท้

ขอบคุณค่ะ...เห็นด้วยค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท