วันนี้ขอเล่าสู่ฟัง...อย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อครั้งเข้าเรียน.....โรงเรียนแรกที่มีโอกาสได้ร่ำเรียน ตั้งแต่อนุบาล ถึง ป.7 นับ เวลา 8 ปีเต็ม ที่ใช้ชีวิตในโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนบ้านผักปัง (ภูมิวิทยา) เป็นโรงเรียนตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ใกล้ตลาด ด้านหน้าเป็นที่ว่าการอำเภอภูเขียว ด้านตะวันออกมีที่ทำการไปรษณีย์ ด้านตะวันตกเป็นบ้านพักเจ้าหน้าคลังอำเภอ บ้านพักอัยการ บ้านพักสมุหบัญชี และติดกับสถานตำรวจอำเภอภูเขียว ที่สำคัญด้านหลังติดกับหนองผักปัง หนองน้ำแห่งสายเลือดคนบ้านผักปัง
ความจริงมีโอกาสเรียนก่อนใครๆ เพราะมีโรงเรียนเอกชนใกล้บ้านชื่อโรงเรียนอุดมวิทยา เมื่อเริ่มพูดจาได้บ้างก็วิ่งตามพี่ๆไปเรียนที่โรงเรียนอุดมวิทยา ไปแบบไม่ได้อะไร ได้เพียงฝึกพูด ฝึกความเป็นอยู่ทางสังคม มากกว่า ช่วงนั้นน่าจะอายุเพียง 5 ขวบ พบคุณครูคนสวยจึงอยากไปเรียน ไปวันๆไม่ทำอะไรนอกจากไปเช็ดขาคุณครู เช็ดถูรอยปานดำที่ขาให้คุณครูเพราะปานดำทำให้ขาคุณครูสกปรก คุณครูก็ปล่อยให้เช็ด เพราะเหนื่อยเช็ดก็หลับเอง คุณครูคนนี้จำได้ว่าชื่อ "คุณครูกมลทิพย์ " พอย่างเข้า 6 ขวบก็วิ่งตามพี่เข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านผักปัง(ภูมิวิทยา) จึงทำให้เรียนก่อนเกณฑ์อยู่ 1 ปี
จากนั้น....เข้าเรียนชั้นอนุบาล เป็นเด็กนักเรียนตัวอ้วนกลม กินเยอะ เดินลำบาก วิ่งไม่ออก แต่ใครจะมารังแกไม่ได้ เวลาพี่ถูกใครรังแกก็จะไปเป็นผู้ดูแลพี่สาว ทุกที ......ช่วงนั้นพี่สาวก็จะอยู่ ป. 2 พี่สาวเป็นเด็กสวย เรียบร้อย เรียนเก่ง คุณครูรัก ...สองพี่น้องเราจะเดินไปโรงเรียนพร้อมกันทุกวัน กลับพร้อมกันทุกวัน
แต่จำได้ว่า....ไปโรงเรียนทุกวัน ในกระเป๋ามีดินสอหิน 1 แท่ง กระดานดำ 1 แผ่น ไม้บรรทัดและหนังสือ ก.ไก่ อีก 1 เล่ม เรียนไปตามสภาพที่พึงทำได้ ผ่าน ป.1 ผ่าน ป.2 ก็ยังอ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้ ร้องเพลงชาติไม่ถูก ช่วงนั้นโชคดีเพียงว่ายังเดินเข้าห้องเรียนถูกห้องเท่านั้น เรียนผ่านชั้นไปตามลำดับจนถึงป.3 ขึ้นมาเรียนชั้น 2 อาคาร 2 เริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น ห้องเรียนเป็นพื้นไม้ จัดโต๊ะเรียนแบบนั่งคู่ (เพราะโต๊ะเรียนเป็นโต๊ะยาวคู่สองช่อง ) ห้องเรียนหนึ่งมี 3 แถว ๆละ 5 ตัว ห้องหนึ่งก็มีนักเรียนประมาณ 30 คน หน้าห้องเรียนมีกระดานและโต๊ะคุณครู ด้านหลังมีรางไม้ไว้เสียบหมวกนักเรียน (หมวกเหมือนทหารสมัยสงครามโลก ) นักเรียนหญิงใบขาว นักเรียนชายใบสีกากี ใครนั่งโต๊ะแถวไหนหมวกต้องเสียบให้ตรงกับแถวที่นั่ง (ทำให้ครูรู้เลยว่าใครลืมหมวกมา ใครเก็บหมวกไม่เรียบร้อย ) เข้าเรียนสัปดาห์แรกของชั้น ป.3 จำได้แม่น ครูให้อ่านหนังสือง่ายๆกว่าระดับ ป.3 คือหนังสือเรณูและปัญญา แต่รู้ไหมอ่านไม่ได้ อ่านได้ไม่มากเท่าเพื่อนๆ เพื่อนๆชอบหัวเราะ ก็ได้แต่ร้องไห้กลับบ้าน ไม่อยากไปเรียน เบื่อห้องเรียน เบื่อครูที่ให้ไปเขียนหน้าห้อง ครูตีบรรทัดบนกระดาน เวลาไปเจออักษร " ต ฒ และ ฐ " เขียนไม่ได้เพราะเขียนแค่เพียงหัวของ ต ฒ และ ฐ ก็เต็มบรรทัดแล้ว ลากต่อไม่ได้ เพื่อนก็หัวเราะอีก คราวนี้อยากกลับบ้านอย่างเดียว คิดเอาเองนะว่าบรรยากาศวันนั้น จะเป็นอย่างไร ? ทำไมเราอ่านไม่ได้ ? ทำไมเราเขียนไม่ได้ ? ทำไมเพื่อนเขาทำได้ ? เราคนสุดท้าย ของการลำดับความสามารถทางการเขียนและอ่าน ก็ว่าได้ในห้องนั้น
แต่สิ่งที่ตามมา คือ ....คุณครูไม่ให้ไปไหน ? ....จากวันนั้น ..พักกลางวัน..คุณครูกินข้าวกลางวันที่ห้องเรียน ...คุณครูให้นั่งกินข้าวด้วย ..กินข้าวเสร็จ คุณครูให้เขียน คุณครูจับมือเขียน คุณครูทำเส้นปะให้เขียน " ต ฒ และ ฐ " ใช้เวลาอยู่หลายเดือนจึงเขียนได้ วันที่เขียนได้จำได้ว่า...ดีใจมากกระโดดกอดคอคุณครู และตะโกนแบบสุดสุด ....คุณครูขา.....หนูเขียนได้แล้ว ตัวแรกที่ขมวดหัวได้ก็คือ " ต " ตามด้วย " ฒ" ส่วน" ฐ" เขียนได้ช้าสุด จนถึงวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงเขียนขมวดหัวไม่ได้ ถึงวันนี้รู้เพียงว่า " หากคุณครูมีเวลา และให้ทำซ้ำๆบ่อยๆๆๆๆ ขอเพียงคุณครูไม่เบื่อง่ายๆ เด็กๆก็จะพบความสำเร็จของตนเอง ...พอเขียนได้ "ต" คุณครูให้พัก เล่นกลางวันได้ 2 วัน ไปกินข้าวกับเพื่อน เล่นกับเพื่อน ดีใจมากช่วงนั้น ...นี่คือบรรยากาศกลางวันที่คุณครูสอน ฝึกฝน เคี่ยวเข็ญเรา แต่คุณครูไม่เดยดุ ไม่เคยตี มีคำชมทุกวัน " จะได้แล้ว เกือบแล้ว ดีขึ้นเยอะเลย เขียนหัวและต่อขาได้แล้ว ....สวยกว่าเมื่อวาน อีกไม่กี่วันก็ได้แล้ว ....เป็นต้น" ..นี่คือ กำลังใจ
ช่วงเย็น เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมง ทุกคนเก็บหนังสือกระดาน ใส่กระเป๋าวางประเป๋าไว้ข้างโต๊ะ ทุกคนท่องสูตรคูณและบทสอนใจทั้งหลาย ท่องเสร็จทุกคนลุกไปถือหมวกตนเองที่หลังห้องมาวางบนโต๊ะเรียนด้านขวามือ เมื่อนั่งประจำที่พร้อมทุกคน หัวหน้าจะนำสวดมนต์ไหว้พระก่อนบอกทำความเคารพคุณครู เดินออกนอกไปสวมรองเท้ากลับบ้าน ทุกคนที่อ่านออกเขียนได้ ก็จะได้ปฎิบัติอย่างนี้พร้อมเพื่อน ...ทายออกใช่ไหมว่า.....คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ต้องเจออะไรหลังเลิกเรียน
...หลังเลิกเรียน ไม่มีสิทธิ์เก็บหนังสือ หรือกระดานลงกระเป๋า กระเป๋ายังอยู่ใต้โต๊ะ หมวกยังอยู่หลังห้อง จะท่องสูตรคูณหรือท่องบทสอนใจกับเพื่อนทำได้เพียงท่องในใจ ออกเสียงพร้อมเพื่อนไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์เดินไปเอาหมวกมาวางบนโต๊ะด้านขวามือพร้อมเพื่อน .....เจ็บปวดมากในความรู้สึกช่วงนั้น..อยากร้องไห้แต่ไม่ร้อง อายเพื่อน... ได้เพียงแอบๆชำเลืองตาไปหลังห้อง มองเห็นเหลือหมวกตัวเองใบเดียว ....โดดเด่นอยู่ .....เพื่อนกลับบ้านไปหมด ....พี่สาวเดินมานั่งรอที่หน้าห้อง ...เข้ามาหาน้องไม่ได้ ...ทุกวันคุณครูต้องให้อ่านวันละหน้า ...ฝึกอ่าน ...อ่านสะกด...อ่านทีละคำ...อ่านแบบมีความหมาย ...อ่านประกอบภาพ ...อ่านประกอบของจริง คุณครูสรรหามาช่วยเสริมให้อ่านออก ทำอย่างนี้นับแรมหลายๆๆๆเดือน คุณครูทำอย่างนี้ทุกวัน ....เสร็จการอ่าน การเขียน เก็บกระดาน ดินสอหิน ใส่กระเป๋า วางจุดที่ต้องวาง ท่องสูตรคูณออกเสียง ท่องบทสอนใจทั้งหลายท่องเสร็จเดินไปเอาหมวกที่หลังห้องมาวางบนโต๊ะด้านขวามือ สวดมนต์ไหว้พระ เดินไปสวัสดีคุณครูกลับบ้าน ทุกอย่างกระทำเช่นเดียวกับเพื่อน ต่างกันเพียงเราต้องปฎิบัติคนเดียว และ เวลาสวัสดีคุณครูไม่ต้องบอกแบบหัวหน้าเท่านั้น
เริ่มอ่านได้โดยไม่รู้ตัว ... ...มีวันหนึ่งคุณครูบอก "ครูจะพาไปส่งบ้านพร้อมพี่สาว" ...ดีใจมาก ดีใจที่สุด ที่เดินกลับบ้าน ...ข้างหนึ่งพี่..อีกข้างคุณครู และเมื่อถึงบ้านคุณครูให้เปิดกระเป๋าและเอาหนังสือ เจ้าเป็ดน้อยออกมา แล้วคุณครูบอกว่า " เจ้าแมวอ้วน (ชื่อฉันเอง) ลองอ่านเหมือนกับที่อ่านให้ครูฟัง คราวนี้อ่านให้ยายฟังสิ " ตื่นเต้นมาก ว่าจะอ่านได้หรือเปล่า จะอายยายไหม? .....ที่สุด...อ่านได้ทุกบรรทัดไม่ผิดเลย ...ยายยิ้ม คุณครูยิ้ม พี่สาวก็ยิ้ม ที่เราอ่านได้แล้ว อาการเดิมเกิดอีกคือ..... ตะโกนสุดเสียง....ยาย .... อ่านได้แล้ว ..... ได้ยินเสียงยายขอบคุณ คุณครู...และเอากล้วยฝากคุณครูหวีใหญ่เลย 2-3 หวี ....นี่คือ คุณครู....ที่ให้โอกาสเด็กที่อ่านไม่ออกคนนี้ ที่ต้องยกนิ้วให้คือ " การประเมินความสำเร็จของเรา...ด้วย ยาย เป็นผู้ประเมิน....คุณครูเสียเวลาให้กับเรามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆๆๆ
ต่อจากนั้น พออ่านออกเขียนได้ เพื่อนๆไม่ได้หัวเราะเราอีก เราได้ออกหน้าห้องเขียนคำที่ต้องใช้ ต ฒ และฐ ให้เพื่อนได้เห็น ได้อ่าน และชี้ให้เพื่อนอ่านคำนั้นๆ ตามเราด้วย แต่จำไม่ได้ว่าคำนั้นๆ คือ คำอะไร???? เป็นวันที่ยิ้มแก้มบานเต็มๆ นี่ คือ หัวอกคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ครั้งประถมศึกษา ..... เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ก็วันสอบปลายภาคพอดี ...ได้ขึ้นเรียน ป. 4 อย่างคนอ่านออกเขียนได้ ..เพราะคุณครูจริงๆ คุณครูคนนี้ชื่อ " คุณครูประดับ เสิพภูเขียว " ถึงวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าคุณครูอยู่ที่ใด ?????
เมื่ออ่านไม่ออก..เขียน ต-เต่า ไม่ได้ จากวันนั้นถึงวันนี้ ... ร่วม 40 ปีที่ผ่านพ้น สิ่งที่มีความหมายเราจำได้ กับเราเราจำได้
เพื่อนร่วมอาชีพครูทุกคน ...เราอาจจะมีเด็กๆอย่างนี้ปะปนอยู่ในห้องที่เรารับผิดชอบสอน ลูกใครหลานใคร ก็ตามเขาคือลูกศิษย์ ที่สักวันเขาจะเติบโตขึ้นมารับผิดชอบสังคม เช่นที่ krusiriwan คนนี้และเราๆ ขอเรื่องเก็บมาเล่าชุดนี้ ได้เป็นเครื่องแสดงให้สังคมรับรู้ว่า "ครูไทย จิตใจสูงส่ง รับผิดชอบความเป็นคน ยังมีอีกมากในแผ่นดินนี้ อย่างเช่นที่เก็บมาเล่าสู่ฟัง จากเรื่องจริงที่ผ่านชีวิต " ..........
" ไม่มีครูไม่มีวันนี้อยู่ ใครจะผลักใครจะชูให้เดินหน้า แม้วันนี้ครูไปอยู่ไกลสุดตา แต่..ครูจ๋า..ศิษย์ยังนึกรำลึกคุณ "
ฉบับนี้ ของ่ายๆ เรื่องจริงๆๆ ให้อ่านเล่นๆ เพื่อเตือนใจว่าคุณครูที่พร้อมด้วยวิญญาณครู จะพบความสุขแห่งความเป็นครูเมื่อดอกไม้บาน แบบที่เล่าสู่ฟัง...คุณครูสอนเราแบบไหน ? คนอ่านช้า อ่านไม่ออกจึงอ่านได้ทันเพื่อน ในเวลาไม่นานนัก ..นี่ คือ " เพียงครู...อยากเห็นดอกไม้บาน ...ในงานครู "
จากเด็กน้อย...ถึงวันนี้ ...ที่มีโอกาสผ่านเข้าไปพบคุณครู...ที่เอื้ออารี มีเมตตา และไม่ท้อกับการเรียนช้า....เรียนไม่ทันเพื่อน ของเด็กน้อย ตัวอ้วน คนหนึ่ง.........จะมีเด็กๆ อย่างเราปะปนอยู่ในรั้ววัยเรียนหรือไม่ ในวันนี้....ขอเมตตาและความเอื้ออารี ห่วงใยและเอื้ออาทร กับเขาบ้างนะคะ...สักวันเขาอาจจะลืมตาอ้าปากได้ ...เช่นเด็กน้อยตัวอ้วนคนนี้บ้าง ในวันข้างหน้า ..........ขอบคุณคะ ! ขอบคุณหลายๆ ในน้ำใจของคุณครู ทุกคน .........ที่มอบให้เด็กน้อย ทั่วแผ่นดินไทย...แดนดินพื้นถิ่นอีสานบ้านเฮา .......
อย่างนี้...เช่นนี้.... ห้องเรียน...ที่มีครูดีดี
ขอบคณสำหรับแนวทางดีๆ. ข้อคิดดีๆ ครัย