กายใจไม่ใช่ตัวตนบังคับไม่ได้ ประสบการณ์การดูจิตเพื่อฝึกสติ 13 หลวงพ่อชมโยมพ่อและการป้องกันไข้หวัดใหญ่ของสวนสันติธรรม


2สค.52

ดิฉันเพิ่งกลับจากสวนสันติธรรมหลังจากไปอยู่วัด 2 คืนโดยเราไปศุกร์บ่าย กลับอาทิตย์เช้าค่ะ

ก่อนไปดิฉันรีบไปสระผมที่ร้านข้างบ้าน    ช่างถามว่าคุณหมอไปปฏิบัติธรรม ทำอะไรบ้าง??

 ดิฉันก็บอกไปหัดดูกายดูใจของเราเพื่อฝึกสติ   เมื่อเรามีสติตัวจริงเราจะรู้ตัวตนของเรา   ฝึกไปนานๆสติจะเกิดบ่อยจนเราเห็นไตรลักษณ์ของทั้งกายและใจว่าไม่ใช่ตัวตนของเรา   เราไม่สามารถบังคัยกายและบังคับจิตเราได้จริง   เห็นนานๆเข้าเราก็ไม่ยึดถือกายยึดถือจิต   ทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ซึ่งเกิดมาจากการยึดกายยึดจิตว่าเป็นของเรา      และที่ไปก็เพื่อให้ท่านแนะนำในการปฏิบัติเพราะเราอาจจะทำผิดๆโดยไม่เข้าใจวิธีการ 

ครั้งนี้เราเจอเพื่อนจากฮ่องกงที่เป็นคนไทย 2 คน ที่บินมาปฏิบัติธรรมโดยมาทดแทนครั้งที่แล้วจากสนามบินถูกยึดทำให้เสียสิทธิ์    เผอิญคุณธนาช่วยดูแลวันว่างทดแทนให้ก็เลยได้มา

อีก2คนเป็นหญิง   ดิฉันไม่กล้าซักมากเพราะเกรงใจเพราะบางคนไม่ค่อยอยากคุยกับใคร (คงกลัวฟุ้งซ่าน   )

มาครั้งนี้ดิฉันกับสามีเดินจงกรมประมาณ2ชั่งโมงก่อนเข้านอนโดยเราจะมาเดินที่บริเวณที่จอดรถสลับกับบริเวณหน้าศาลาหลังรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์ตั้งแต่6โมงเย็นโดยเดินบ้างพักบ้าง

ในวันแรกคุณชัยณรงค์ไม่บ่นเหนื่อยเลย   ในคืนวันเสาร์บ่นเหนื่อยทำให้ดิฉันรีบพาไปพัก( อายุ65แล้วค่ะ   กลัวหัวใจวาย ขายหน้าหมอและวัด      เวลาเราเดินลงบันไดจากหน้าศาลาลงมาที่จอดรถเราต้องระวังเพราะกลัวตกบันไดเนื่องจากไม่มีแสงไฟ    เราต้องใช้แสงจันทร์แทนและไฟฉาย   กลัวเป็นข่าวด้วยค่ะ )    

หลวงพ่อให้ส่งการบ้านวันแรก    ดิฉันเรียนว่าสติเกิดระหว่างวันมากขึ้น      (เมื่อก่อนมักหลงไปทั้งวัน  นึกได้ก็ช่วงเย็น )   และเรียนท่านครั้งนี้ว่าเดินจงกรมได้นานขึ้นเพราะเดินเหมือนคนธรรมดาแต่ระหว่างเดินให้รู้กายบ้างรู้จิตที่หลงไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้างโดยแค่รู้    ไม่อยากให้หายหลงคิด        ดิฉันถามท่านว่าดิฉันพัฒนาขึ้นหรือไม่เพราะดูตัวเองไม่ออก

ท่านบอกว่าดิฉันพัฒนาขึ้น      ท่านสอนว่าจิตของเราเดี๋ยวหลงไปคิด เดี๋ยวหลงไปดู เดี๋ยวร้องเพลงในใจ เดี๋ยวโกรธ  เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวหลง    บังคับไม่ได้จริง   เมื่อเรารู้บ่อยๆก็จะแยกกายซึ่งเป็นรูป  จิต  ความรู้สึกต่างๆที่เป็นนาม   ต่อไปเราจะทุกข์น้อยลง    เวลาเราเจอสภาวะความทรมานกายจากโรคภัย      เราจะทุกข์น้อยลงเพราะจะไม่รักกาย   จะเห็นกายก็ส่วนหนึ่ง   ความเจ็บปวดก็อีกส่วนหนึ่ง  จิตก็ส่วนหนึ่ง    แต่ไม่ใช่ฝึกเพื่อไม่ให้เจ็บปวด    ความปวดยังมีเหมือนเดิม   แต่ไม่ยึด

 ท่านให้กำลังใจสามีดิฉันว่าจิตตื่นแล้วและปฏิบัติได้ดี   และเตือนให้หมั่นรู้กายใจเพราะเราไม่ทราบอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา    อนาคตเป็นของไม่แน่นอน     ให้หมั่นทำสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน    ( ไม่ใช่จะมาวัดก็รีบทำเพื่อส่งการบ้าน )

ผู้มาอยู่วัดอีก4ท่าน   บางคนก็ปฏิบัติได้ดีท่านก็ให้รู้จิตรู้กายต่อไป       บางคนก็เพ่งมากไปเพราะติดการทำสมรรถะ    ท่านให้นั่งสมาธิให้ดู        ท่านทักว่าไม่ให้เพ่ง     สมรรถะได้ประโยชน์แต่อาจไม่พ้นทุกข์เพราะต้องฝีกให้เกิดสติด้วย ( สติที่รู้กายรู้จิต  ไม่ใช่สติที่เราใช้ทำงานธรรมดา )  

ในวันอาทิตย์ปกติจะเปิดให้คนมาฟังธรรม      แต่อาทิตย์นี้ปิดวัดเพราะหลวงพ่อขอสอนกลุ่มกรรมการและกลุ่มวิทยากร(  ดิฉันคาดเดาจากกลุ่มที่เห็นคือกลุ่มวิมุตดอทเนท และเห็นกลุ่มที่เป็นกรรมการวัด และบางส่วนเป็นวิทยากรของกฟผ. )

ก่อนกลับเพื่อนพระป๋องหลายคนทักทาย    เป็นกลุ่มที่รู้จักก่อนหลวงพ่อบวชและมาช่วยงานท่าน   

2คนที่เข้ามาคุย คือ ดร. บิ๊ก อาจารย์จากคณะวิศวะเกษตร    และดร. นุก  สอนวิศวะที่ธรรมศาสตร์  (ไม่รู้ชื่อจริงค่ะ  )  

 นุกเคยสอนที่มหาวิทยาลัยชินวัตรพร้อมพระป๋องก่อนไปเรียนที่อเมริกาเข้ามาทักทาย   ( เข้าใจว่าเป็นกลุ่มหลวงพ่อเรียกสอนพิเศษ   )

 ดิฉันเห็นประกาศของวัดเกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่2009 ที่ติดไว้หลายที่ในวัดพร้อมแจกหน้ากากอนามัยและมีเจลล้างมือก่อนเข้าห้อง   จึงถ่ายมาให้ดูค่ะ     ทุกคนที่เข้าฟังธรรมต้องใส่หน้ากากอนามัยค่ะ    

2สัปดาห์ก่อน   พระป๋องโทรมาปรึกษาโยมแม่เรื่องนี้   เอกสารลูกศิษย์กลุ่มแพทย์คงช่วยกันทำค่ะ

  ดิฉันเห็นส่วนใหญ่ก็เชื่อฟัง   มีน้อยที่ไม่ใส่ค่ะ

ก่อนสมาชิกกลุ่มพิเศษของหลวงพ่อจะมาเข้าห้องค่ะ   ดิฉันถ่ายให้เห็นบรรยากาศของศาลาที่พวกเราฟังธรรม   ทางซ้ายเป็นมุมสอนพระ    ช่วงบ่ายๆเรามักมานั่งสมาธิและเดินจงกรมที่นี่เพราะห้องเย็นดีค่ะ

 

แม่บ้านชาวพม่าที่หลวงพ่อจ้างครูภาษาไทยมาสอนนั่งอ่านหนังสือธรรมะหลังจากช่วยกันขนอาหารเข้าห้องเพื่อถวายพระ    ดิฉันถามว่าเรียนถึงชั้นใหน      เธอตอบประถมสองแต่อ่านหนังสือธรรมคู่ธรรมเดี่ยวของหลวงพ่อได้

 

ไปวัดครั้งนี้ดอกไม้หน้าศาลาและในบริเวณวัดสวยขึ้นมากและเพิ่มขึ้นมากจากฝนตกและการปลูกเพิ่มค่ะ

 ภาพนี้จากหน้าศาลา

ถ่ายก่อนกลับบ้านวันอาทิตย์เช้า       ก่อนเข้าศาลาส่งการบ้านหลวงพ่อ   

 

ดิฉันมาเดินจงกรมแถวๆองค์พระและที่จอดรถเพราะถนนกว้างดี  เมื่อยก็มานั่งบริเวณหน้าศาลา       หายเมื่อยก็ไปเดินต่อ 

ท่านไม่ให้จดเวลาฟังค่ะ   ดิฉันเล่าจากความจำเหมือนเรื่องเล่า   ถ้าใครเป็นลูกศิษย์ท่านเห็นที่ใหนผิดก็กรุณาเพิ่มเติมและแก้ไขด้วยก็จะเป็นพระคุณค่ะ

หมายเลขบันทึก: 282432เขียนเมื่อ 2 สิงหาคม 2009 16:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เรียน ท่านพี่ เล่าได้ เยี่ยมเลยครับ ยังไม่มีโอกาสได้เดินจงกรม แต่ก็ พยายาม ตั้ง สติ ครับ บางที่ก็ หลุด ท่านพี่

สวัสดีค่ะอาจารย์JJ

วิชาที่อาจารย์สอนและงานที่ทำอยู่เป็นการปฏิธรรมที่เนียนไปกับเนื้องานค่ะ ส่วนการเดินจงกรมก็เกิดตลอดเวลาของชีวิตถ้าระหว่างเดินมีสติรู้กายรู้ใจค่ะซึ่งอาจารย์คงปฏิบัติในระหว่างทำงานอยู่แล้วค่ะ

หลวงพ่อบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดท่า แต่ให้มีสติรู้สึกตัวระหว่างยืนเดินนั่งนอนค่ะ

นอกจากการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นานๆไปวัดทีก็เปลี่ยนบรรยากาศดีเหมือนกันค่ะ

พี่สติหลุดบ่อยๆ แต่รู้ว่าสติหลุดแปลว่าดีเพราะสติก็เป็นอนัตตาค่ะ(จำจากหนังสือค่ะ) เพราะเราปฏิบัติเพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งค่ะ

ขอบคุณที่อาจารย์มาเยี่ยมค่ะ

ขออนุโมทนากับการปฏิบัติธรรมของคุณหมอค่ะ  เข้ามาเรียนรู้การ ดูกาย ดูใจค่ะ ขอบคุณ คุณหมอที่ให้ประสบการณ์เป็นทานแก่ผู้อื่นค่ะ

 

สวัสดีครับ อาจารย์หมอ เห็นบันทึกได้รับความคิดเห็นล่าสุดเลยแวะมาเยี่ยมบ้างครับ

ผมจองคิวไว้ได้ปี 2559 น่ะครับ

ก็อาศัยดูกาย ดูจิต ในประจำวันครับ ส่วนใหญ่จะพยายามฟัง CD ทุกวันครับ

เข้าเรียนที่สวนสันติธรรมบ้างประมาณเดือนละครั้ง-2ครั้งครับ

ชดเชยที่กว่าจะได้อยู่วัดต้องรออีกนานครับ

ขอบคุณนะครับสำหรับประสบการณ์ธรรม

ขอบคุณ ครูเตือนที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ หมอเล่าจากการจำไม่มีเวลาอ่านปริยัติมากค่ะ คงมีประโยชน์บ้างนะคะ

สวัสดีค่ะคุณ Phormphon

ขอบคุณที่เข้ามาทักทายค่ะ

หมอเล่าจากความรู้สึกและความจำ บางอย่างอาจไม่ถูกตำราปริยัติค่ะ

หมอตั้งใจไปประมาณ 3เดือนครั้งโดยขอโควต้าของกรรมการวัดในช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ที่ไม่มีกรรมการจองค่ะ

ช่วงไปอยู่วัดหลวงพ่อไม่ได้สอนพิเศษอะไร นอกจากมีสิทธ์นั่งหน้าและถามหลวงพ่อได้ แต่อาจจะดีสำหรับคนที่ไม่ค่อยปฏิบัติในชีวิตประจำวัน พออยู่กับตัวเองคนเดียว ตัดจากโลกภายนอก อาจเห็นตัวตนตัวเองรู้กายรู้ใจดีขึ้น

ชื่นชมคุณพรมพลที่อายุน้อยแต่มุ่งปฏิบัติและเนียนไปกับงานของเราโดยทำสม่ำเสมอ น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดและดูไม่แตกต่างไปจากคนอื่นๆค่ะ

ตอนนี้รู้แล้วว่าจิตกายมันไม่ใช่ของเรา 99 %แต่ยังเหลืออีก1%คือ ทำไมเราควบคุมได้บ้างครั้งที่เรารู้สึกตัวครับ

ขอบคุณคุณครูฟิสิกส์ที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ คำถามขอเดาตอบว่าสติจะเกิดเฉพาะกุศลจิตค่ะ ส่วนถูกหรือเปล่าจะลองไปถามผู้รู้ให้นะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท