เพิ่งเห็นข่าว(ในเยอรมัน)เมื่อกี้..อดีตนายก เปรู..ถูกตัดสินจำคุก ข้อหาคอรับชั่น..โรคผลประโยชน์เป็นโรคสากลไปเสียแล้ว..โรคขัดแข้งขัดขา..จึงเป็นโรค..ธรรมดาๆ..คนไทยคิดว่าเป็นเรื่องที่ทนได้..ถูกขัดขาหกล้ม..ขอโทษค่ะ..ไม่เป็นไรค่ะ..ยิ้มหวานๆสักนิดแถมให้..กับการถูกตัดขา...เมืองสยามเมืองยิ้มเจ้าค่ะ..ยิ้มไม่ออกก็..หัดนั่งหลับหูหลับตา..เดินถอยหลังเข้าวัดกันเป็นแถว..ขอครุ่นคิดด้วยคนเจ้าค่ะ
"คนที่มีตำแหน่งสูงๆ จึงเป็นคนมีวิชามารสูง ไม่ใช่วิชาการสูง ไม่ใช่คุณธรรมสูง"
บทความของอาจารย์สะท้อนระบบที่นำไปผิดทางได้ตรงใจมากเลยครับ
ปัจจุบันคนมีความรู้สูงคือคนที่ได้รับตำแหน่งสูง ได้รับเงินเดือนดี
เวลารับเข้าบรรจุก็ดี ตำแหน่งในทางราชการหรือเอกชน ก็จะระบุว่า ปริญญาตรี โท เอก
สมัครตำแหน่งนี้ำ ได้ ไม่ได้ ได้รับอัตราค่าจ้าง เท่านี้เท่านั้น
คนที่ตำแหน่งสูง เห็นแก่ตัวมาก วิชามารล้ำลึก หาตัวจับได้ยาก ประเทศชาติเสียหายมาก (ขออนุญาตเลี่ยงคำ_ิบหายครับ)
ถ้าเปลี่ยนเป็น ปริญญาไม่ว่าขั้นไหนก็สมัครงานขั้นต้นได้เหมือนกัน แล้วเลื่อนตำแหน่งเอาจากคุณธรรมความสามารถ ประเทศชาติคงไม่มีแต่ คนที่มีตำแหน่งสูงแต่คุณธรรมน้อยครับ
คนมีคุณธรรมท้อถอย เพราะไม่ชอบการหาช่องทางซิกแซก ถึงมีช่องให้ลัดคิวยังไม่อยากทำ
คนไม่มีคุณธรรมก้าวหน้าใหญ่โต เพราะมีแต่ช่องทางซิกแซกเยอะไปหมด
ระบบการวิจัยที่ดีเกิดจากคน
คนมีพลัง จากสังคม หากมองผ่านกรอบ social facilitation
อาจพบว่า เราอาจต้องสร้างสังคม นักวิจัยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
นักวิจัยอาวุโส ควรทำให้บรรยากาศ การวิจัย
น่าสนุก น่ารื่นรมณ์ ไม่ผลักใส การวิจัย
ออกจากชีวิต คนธรรมดา
ควรทำระบบวิจัย ให้ เข้าสู่ระบบธรรมชาติ
ตอนนี้ ข้าราชการ ส่วนมาก เกลียดและกลัวงานวิจัย
หลายคนคิดว่า งานวิจัยเป็นเรื่องที่ไม่ได้ประโยชน์(ซึ่งทำให้อยากร้องไห้)
ระบบต้องเปลี่ยน
งานวิจัย ต้องสนุก ต้องง่าย และมีประโยชน์คุ้มค่าครับ
"เพราะความเห็นแก่ตัวนี้เอง เราจึงทำงานแบบขัดแข้งขัดขากัน ดูในทีวีจะเห็นภาพซ้อนนี้ คนที่มีตำแหน่งสูงๆ จึงเป็นคนมีวิชามารสูง ไม่ใช่วิชาการสูง ไม่ใช่คุณธรรมสูง ผมภาวนาให้สภาพในย่อหน้านี้เบาบางลง เพื่ออนาคตของสังคมไทย"
อาจารย์คะ ข้อความข้างต้นตรงและชัดมากกับภาพที่เป็นจริงในมหาวิทยาลัยท้องถิ่น ราชภัฏเป็นมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น ในการทำงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นทำแล้วสนุก มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือชุมชน
แต่งานวิจัยแบบบูรณาการใช้ในท้องถิ่นไม่สามารถนำมาใช้ขอผลงานวิชาการ
ทำไมคะ ผู้เชี่ยวชาญที่ประเมินผลงานวิชาการจึงมีแต่นักวิจัยที่ไม่มองมุมกว้าง มองแค่เจาะลึกในสาขาวิชาจึงจะได้รับการยอมรับ ทั้งที่ขัดแย้งกับนโยบายส่งเสริมการวิจัยของหน่วยงานต่างๆ และแหล่งทุนวิจัย ที่จะให้ทำวิจัยพัฒนาชุมชนช่วยสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศชาติมากกว่าทำวิจัยในห้องLab
การทำงานวิจัยเพื่อขอผลงานวิชาการต้องทำวิจัยแล้วได้ตีพิมพ์ แม้ว่าชุมชนจะไม่ได้ประโยชน์อไรเลยจากงานวิจัยนั้น ก็ไม่เป็นไร
การทำงานวิจัยลงท้องถิ่นอย่างทุ่มเท จึงเหมือนเดินถอยหลัง ไม่ได้รับความก้าวหน้าทางวิชาการ จึงสับสน และเสียกำลังใจ ทำงานมีความสุข ก็ไม่ได้เลื่อนยศ ตำแหน่ง คงต้องกลับมาเดินตามเส้นทางวิจัยที่ทำกันทั่วไป แม้จะเป็นงานที่เห็นแก่ตัว เพราะต้องทำวิจัยเพื่อตนเองเพื่อสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จึงจะก้าวหน้าได้
เมื่อไรประเทศไทย นักวิชาการจะมีแนวคิดมุมมองว่านักวิจัยที่ดี ควรทำงานวิจัยในท้องถิ่น เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น และควรมีการส่งเสริมความก้าวหน้าในการทำงานราชการให้ด้วย
อยากทำงานวิจัยดีๆให้ชุมชน แต่ครอบครัวอยากให้ทำวิจัยเพื่อให้ก้าวหน้าในชีวิตราชการด้วย เพราะรุ่นน้องที่ทำงานวิชาการอย่างเดียว ได้เลื่อนยศ ตำแหน่งกันแซงหน้าไปหมดแล้ว
เหนื่อยใจมากคะ กับระบบการทำงาน และการประเมินผลงานวิชาการที่คับแคบมาก
ผมว่า root cause อยู่ที่ผู้กุมนโยบายวิจัยระดับประเทศ (พูดอีกอย่าง คือผู้กุมเงิน)
ใครทำได้ มือระดับเมพขิง ๆ