หน้งสือในชุด “วิจัย...พลังเปลี่ยนการเรียนรู้” เขียนโดย รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐ สรรพ์ แห่ง สกว. ทำให้ผมตาสว่าง เห็นสัจธรรมว่า การวิจัยจะช่วยปฏิรูปการศึกษาหรือการเรียนรู้ได้จริงๆ
หนังสือชุดนี้มี ๕ เล่ม ดังนี้
๑
๒
๓
๔
๕
ดร. สุธีระ เขียนหนังสือชุดนี้ จากประสบการณ์ในการสนับสนุนโครงการยุววิจัย สกว. หรือการสร้างนักวิจัยรุ่นเยาว์ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ และผมเข้าใจว่า คงจะได้จากประสบการณ์ครุวิจัยด้วย เป็นการเขียนเพื่อเป้าหมายผู้อ่านคือครู แต่คนทั่วไปก็อ่านได้ ผมอ่านแล้วสนุก และได้ข้อคิดมากมาย ได้ความรู้หลักการวิจัย เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมาย
ประสบการณ์ของ สกว. บอกว่า ครูทำวิจัยยาก เพราะถูกสอนให้ทำวิจัยในชั้นเรียนด้วยวิธีคิดที่ผิด ไม่เอื้อต่อการวิจัย
แต่มีตัวอย่างการวิจัยของครูและนักเรียนที่โรงเรียนบ้านตะโละใส อ. ละงู จ. สตูล ที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียนบ้านตะโละใส และในชุมชนด้วย และครูก็ได้มีผลงานวิจัยเรื่องวิธีจัดการเรียนรู้ไปในตัว
ทำให้ผมเกิดความคิดว่า หากจะให้การปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ ๒ ได้ผล น่าจะตัดงบประมาณสักปีละ ๕๐ ล้านบาทมาให้ สกว. จัดยุววิจัย ครุวิจัย และวิจัยปฏิรูปรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนด้วยการวิจัยท้องถิ่น จะเป็นเม็ดเงินที่ได้ผลคุ้มค่าอย่างยิ่งต่อการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ ๒
นี่เป็น mental model ใหม่ในการช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมืองนะครับ ในต่างประเทศที่เขาเจริญแล้วเขาทำอย่างนี้ทั้งนั้น คือเจ้าของงานเขาใช้วิธี outsource เพื่อให้ได้ผลงานต่อบ้านเมืองมากที่สุด เขาเน้น collaboration ไม่ใช้ competition ระหว่างหน่วยงานรัฐ/เอกชน
ประเทศของเราจะเจริญ หากหน่วยงานต่างๆ ละลดอติมานะและความเห็นแก่ตัว หันมาเห็นแก่ชาติบ้านเมือง เอาผลของบ้านเมืองเป็นหลัก และ outsource งบประมาณไปให้หน่วยงานที่ทำงานได้ผลดีต่อบ้านเมืองที่สุดเป็นผู้ทำ แล้วจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ และผลกระทบระยะยาวอย่างจริงจัง งานวิจัยเป็นงานที่ต้องเน้นผลกระทบระยะยาว ที่ความฉลาดของสังคม
ที่บ้านเมืองของเราเจริญช้า แข่งขันกับเขายาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราตกอยู่ในภพภูมิของการแก่งแย่งแข่งขันกันเอง ไม่ร่วมมือกันแข่งขันกับภายนอก คือมัวเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่บ้านเมืองส่วนรวมนั่นเอง
วิจารณ์ พานิช
๒๗ มิ.ย. ๕๒
เชียงใหม่
ไม่มีความเห็น