หากเราไปอยู่ในโรงละคร ห้องประชุมที่มีการสัมมนา อบรม ปาฐกถา แต่เรามัวแต่คุยกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆ หรือ มัวแต่อ่านหนังสือที่เราสนใจและนำมาด้วย หรือ อ่าน sms ที่ส่งเข้ามาทางโทรศัพท์ ฯลฯ โดยมิได้สนใจการแสดงละคร หรือ การประุชุมด้านหน้า ขอถามว่า เราจะสามารถรับรู้สิ่งการแสดงละคร การประชุม อบรม สัมมนานั้นได้หรือไม่?
ในความเห็นส่วนตัวสำหรับสถานการณ์ข้างต้นนั้น ผู้แสดงบนเวทีก็ต้องใช้การความสามารถในการดึงดูดความสนใจให้ผู้เข้าชมมีความสนใจที่จะติดตามชม รับทราบข้อมูลที่ผู้แสดงต้องการจะสื่อออกมา ซึ่งจากการเข้าชมการแสดงละครเวทีหลายครั้งแล้ว มีความคิดว่าการแสดงบนเวทีนั้นจำต้องมีการแสดงออกที่เกินจริง ไม่ว่าเสียง แสง กริยาท่าทาง อีกทั้งมุขกินใจ หรือ มุขตลก เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนที่มีหลากหลายความคิดให้ติดตามการแสดงบนเวที
แต่หากเป็นการสัมมนา อบรม ปาฐกถา ที่เป็นเนื้อหาวิชาการเล่า ในการนำเสนอด้วยแสง เสียง มุขกินใจ มุขตลก เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟังนั้น ข้อมูลที่ผู้นำการสัมมนา อบรม ปาฐกถาต้องการจะุสื่อออกไปนั้นหากไม่เป็นที่น่าสนใจของผู้ฟังผู้ชมแล้ว ในการนำเสนอร้อยละ 100 เนื้อหาสาระอาจมีเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ปริมาณน้ำปรุงแต่งจะมีสัดส่วนมากกว่า
เมื่อเรามาพิจารณาถึงการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน การเรียนฟรี ปราศจากการลงโทษ ทำดีก็ได้ขึ้นชั้น ทำไม่ดีสอบตก ซ่อมแล้วก็ได้ขึ้นชั้นเรียน ดังนั้น ในความคิดส่วนตัวคิดว่าผู้ที่มีประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะปล่อยตัวตามสบาย จากฐานความคิดว่า สิ่งมีชีวิตต่างชื่นชอบความสดวกสบาย ซึ่งนำไปสู่การให้ความสนใจในสิ่งของ กิจกรรม ที่ตนเองชื่นชอบเท่านั้น ต่างจากการเข้ิาอบรม สัมมนา ฟังปาฐกถาที่ผู้เข้าร่วมจะต้องเสียเงิน เสียเวลาเข้าร่วมในหัวข้อที่สนใจนั้นจะได้รับความสนใจติดตามการนำเสนอ
กล่าวโดยสรุป คือ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้นั้น (ในความคิดส่วนตัว) จำต้องอาศัยการเสนอ และ การสนอง เปรียบกับการปรบมือ ที่ต้องมีมือข้างซ้าย และ มือข้างขวา เคลือนที่เข้าหากันเพื่อให้กระทบกันและเกิดเสียงปรบมือขึ้น หากมือข้างหนึ่งเคลื่อนที่ไปหาแล้ว แต่มืออีกข้างหนึ่งไม่เคลื่อนที่เข้ามา แต่กลับเคลื่อนออก หลบหลีักการกระทบ เสียงปรบมือก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ในการจัดการเรียนรู้หากผู้สอนมีการเสนอ 10 รูปแบบในการสอนคาบสอนหนึ่งๆ ซึ่งดึงดูดความสนใจผู้เรียนได้สิบกว่าคนในคาบสอนหนึ่งๆ ผู้เรียนที่เหลือก็คงไม่สามารถสนใจเนื้อหาสาระที่จะสอนนั้นได้ ซึ่งเขาก็อาจะหันไปพูดคุยในชั้นเรียน ทำงานอื่นๆ ของวิชาอื่นๆ ฯลฯ
ทั้งนี้ ผู้ใหญ่จะใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างไรในการสื่อความรู้ให้กับเยาวชนในปัจจุบันที่มีประสบการณ์ 15 ปีเรียนรู้ว่า "ตั้งใจเรียนก็ผ่านขึ้นชั้นเรียนต่อไปได้ ไม่ตั้งใจเรียนแม้ไม่ผ่านก็ขึ้นชั้นเรียนต่อไปได้" และ เขาเหล่านั้นจะปฏิบัติตัวอย่างไรในสังคมมหาวิทยาลัย สังคมการทำงานในอนาคต นอกจากนี้ หัวข้อนี้ยังอาจนำไปสู่หัวข้อที่น่าสนใจต่ออีกว่า เนื้อหาสาระที่เราคาดหวังให้นักเรียนใช้เวลาเรียน 12 ปีนั้นเหมาะสมกับผู้เรียนในปัจจุบันหรือไม่?
ไม่มีความเห็น