จัดทำขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล “บินข้ามลวดหนาม” ตอน 2 เชียงใหม่
จดหมายจากน้าถึงหลาน ฉบับที่ 2: 14 มิถุนายน 52
วันที่สอง งานเทศกาลบินข้ามลวดหนาม
ชีวิตคนขายแรงงานบนแผ่นดินอื่น
“ยัยหนู เด็กหญิงธิ๋ง ธิ๋ง และเด็กชายป่าไม้ จ๋า”
หลังจากที่พวกน้า ๆ ป้า ๆ ทั้งหลายแถวเมืองหลวงเฝ้าติดตามสถานการณ์เรื่องแรงงานอพยพข้ามชาติมาหลายเดือน เมื่อกลางอาทิตย์ที่แล้วรัฐบาลไทยก็มีมติออกมาเสียที ! ว่าอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติจากพม่า ลาว กัมพูชา ที่ทำงานอยู่แล้วในเมืองไทย แต่ไม่มีบัตรแรงงาน หรือไม่เคยมาขึ้นทะเบียนเพื่อขออนุญาตทำงาน หรือทำงานแบบหลบๆ ซ่อนๆ สามารถมาขึ้นทะเบียนครั้งล่าสุดนี้ได้ ทำให้พวกน้าๆ หายใจโล่งขึ้นเยอะเลยค่ะ
เด็ก ๆ ลองคิดดูเล่นๆนะคะ ถ้าวันหนึ่งเราต้องไปทำงานอยู่ต่างประเทศแบบไม่ถูกกฎหมาย ไม่มีบัตร ไม่มีเอกสารบ่งบอกว่าเราเป็นใคร เราก็ต้องอยู่อย่างระมัดระวัง จะออกไปไหนมาไหนก็ต้องมองซ้ายมองขวาหลายตลบ ดูว่ามีตำรวจอยู่แถวนั้นหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราไปเจอเจ้านายที่ไม่จ่ายค่าแรง เอารัดเอาเปรียบใช้งานทารุณสารพัด และพูดกรอกหูทุกวันว่าเป็น “แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย ถ้าไม่เชื่อฟัง จะแจ้งตำรวจจับ” แค่นี้เราก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตน ทนทำงานต่อไป และไม่รู้ชะตาชีวิตในแต่ละวันว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์อะไรบ้าง
จะว่าไปแล้วทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพม่า ลาว และกัมพูชา คนเหล่านี้จะเข้ามาทำงานที่คนไทยไม่ทำกัน เช่น งานผู้ช่วยแม่บ้าน ประมงทะเลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล เกษตรกรรม ก่อสร้าง ฯลฯ ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากได้จ้างแรงงานเหล่านี้มาทำงานทั้งในบ้าน ในโรงงาน เรือกสวนไร่นา ไซท์ก่อสร้าง ร้านอาหาร ฯลฯ มีคนเคยประมาณการณ์ไว้ว่า ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติสูงถึง 2 ล้านคน แต่เป็นแรงงานไม่ถูกกฎหมายถึง 60 -70 % โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานจากประเทศพม่า
แรงงานบางคนที่โชคดีก็สามารถเข้าเมืองไทยได้อย่างถูกกฎหมาย มีหนังสือเดินทาง แต่อีกหลายคนก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ต้องแอบลักลอบเข้ามา ถ้าม่วงยังจำจดหมายฉบับเมื่อวานได้ที่น้าบอกไว้ว่า มีคนจากพม่าจำนวนมากที่อพยพลี้ภัยเข้ามาในเมืองไทยเพราะภัยสงคราม เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ เป็นชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลพม่าไม่รับรองความเป็นพลเมือง คนเหล่านี้จึงไม่สามารถมีเอกสารรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย นอกจากนั้นแล้วอีกหลายคนที่หนีภัยสงครามเข้ามา แต่ประเทศไทยไม่มีค่ายผู้ลี้ภัยให้เขาพักพิง จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ จะอยู่ในค่ายก็ไม่มีค่ายให้อยู่ ในที่สุดหลายคนจึงตัดสินใจออกมาเป็นแรงงานข้ามชาติ ขายแรงประทังชีวิตให้อยู่รอดต่อไป
แรงงานข้ามชาติที่ย้ายถิ่นเข้ามาในประเทศไทย หลายคนมีลูก ภรรยา สามี หรือญาติพี่น้องติดตามมาด้วย บางคนก็มาแต่งงานมีครอบครัวในประเทศไทย พบบ่อยครั้งว่าครอบครัวของแรงงานข้ามชาติที่ติดตามแรงงานเข้ามาจะไม่มีเอกสารหรือบัตรใด ๆ ที่แสดงสถานภาพหรือสามารถคุ้มครองชีวิตของตนเองได้
การมีชีวิตแบบไม่ถูกกฎหมาย ไม่มีเอกสารรับรองใด ๆ ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ นานา ปัญหาใหญ่ คือ พวกเขายังไม่สามารถเข้าถึงกฎหมายคุ้มครองแรงงานได้อย่างแท้จริง แม้ประเทศไทยจะมีพรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไว้เป็นเกราะป้องกันไม่ให้แรงงานถูกกดขี่ แต่ยังพบว่ามีแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะงานเกษตร หรืองานก่อสร้าง ที่ต้องทำงานหนัก แต่ได้รับค่าแรงต่ำ หรือทำงานไปแล้ว ไม่ได้รับค่าแรง ถูกโกงค่าแรง นายจ้างมักบ่ายเบี่ยงอ้างว่าต้องหักเป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ หรือบางครั้งก็ใช้วิธีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมแรงงานเหล่านี้แทน
แรงงานรับใช้ในบ้านต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำมืด บางคนทำงานบ้านแล้วยังต้องทำงานในร้านขายของหรือทำงานในบ้านญาติของนายจ้าง โดยได้รับค่าแรงจากนายจ้างคนเดียว นอกจากนั้นแรงงานกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกนายจ้างทำร้ายเวลาไม่พอใจ
สำหรับงานประมงทะเล แรงงานต้องออกทะเลเป็นเวลานานเป็นปี ต้องทำงานอย่างหนัก มีเวลาพักผ่อนวันละไม่กี่ชั่วโมง สภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก รวมถึงเรื่องอาหารและยารักษาโรคที่มีเพียงเพื่อให้อยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกายและถูกฆ่าจากหัวหน้างานหรือไต้ก๋งเรือ หากทำงานไม่เป็นที่พอใจหรือเมื่อเกิดมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน
อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้แรงงานข้ามชาติเปลี่ยนนายจ้างข้ามกิจการจ้างงาน หรือถ้าเปลี่ยนนายจ้างได้ก็ต้องเปลี่ยนเฉพาะในกิจการจ้างงานแบบเดียวกัน ยิ่งเป็นการผลักให้แรงงานต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิจากนายจ้างมากขึ้น
นอกจากนั้นแล้วอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลไทยต้องใส่ใจอย่างยิ่ง แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น คือ ชีวิตของครอบครัวผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติ ที่รัฐบาลยังมองข้ามสถานะทางกฎหมายของผู้ติดตามเหล่านี้ จึงทำให้คนกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเข้าถึงการบริการด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสุขภาพ การศึกษาของเด็ก หรือสถานะทางกฎหมายของเด็กที่เกิดใหม่ ทำให้ปัญหาวนเวียนเป็นเขาวงกตหาทางออก ไม่ได้เสียที !
แต่จริงๆแล้วปัญหาที่พูดมาทั้งหมด เรื่องใหญ่กว่าและเป็นรากของปัญหาทั้งหลาย คือ มาจากปัญหาอคติที่ฝังรากลึกในจิตใจคน ถ้าคนเราปรารถนาดีต่อกัน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ถูกกฎหมาย ผิดกฎหมาย แต่เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา ปัญหาที่น้าว่ามา คงไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะ
หนู ๆ ลองดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ทุกวันนี้มีแต่ข่าวที่บอกว่า แรงงานข้ามชาติเป็นตัวอันตรายน่ากลัว เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ต้องทำการควบคุมอย่างจริงจัง ถ้าเราไม่สามารถควบคุมได้ แรงงานเหล่านี้เข้ามาแย่งงานแรงงานไทย ทำให้คนไทยไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
ยิ่งคนรับข่าวสารเชิงลบแบบนี้มากขึ้นๆ เท่าไหร่ คนก็ยิ่งเชื่อว่าแรงงานข้ามชาติเป็นอย่างนี้จริงๆ โดยปราศจากการไตร่ตรองและพินิจพิจารณาว่า มีมูลความจริงมากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคนเชื่อว่าแรงงานข้ามชาติเป็นคนไม่ดี เวลาที่เราเห็นแรงงานข้ามชาติถูกทำร้าย ถูกทารุณ ถูกกดขี่ ทั้งๆที่เราอยากจะช่วยเหลือเพียงไร แต่อคติที่ถูกฝังอยู่ในใจเราที่หนาแน่น เป็นกำแพงทมึฬ ก็ทำให้เราละเลยและเฉยชากับความรุนแรงที่แรงงานเผชิญ และปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไป
“น้าป่าน”
14 มิ.ย. 52
ไม่มีความเห็น