...
ภาพที่ 1: หมากฝรั่งยี่ห้อ 'Angry Scotsman' = "คนสกอตโกรธ" ชาวสกอตมีชื่อเสียงในเรื่องความกล้าหาญ ความเป็นนักรบ ความประหยัด ชอบดื่มเหล้า และความถือตัว (proud) > Thank [ flickr ] , [ the rocketeer ]
หนังสัตว์ประหลาดในทะเลสาบลอคเนส (Loch Ness) มีตอนหนึ่งที่ชาวสกอตกล่าวกับวัยรุ่นอังกฤษว่า 'I am a proud man.' = "ผมเป็นคนถือตัว (หยิ่ง)" [ Loch Ness ]
...
ธรรมชาติของคนที่ถือตัวหรือหยิ่ง (บาลี = มานะ) คือ มักจะโกรธง่าย และโกรธแรงด้วย
โปรดสังเกตว่า ชุดประจำชาติสกอตจะมีกระโปรง 'kilt' อยู่ด้วย เมื่อก่อนชาวสกอตรบกับอังกฤษมานานก่อนรวมประเทศ ชุดประจำชาตินี้มีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวมาก เสียดายที่เมืองไทยไม่มีชุดประจำชาติแบบที่สวมใส่ได้ทุกวัน ทำไร่ไถนาได้ด้วยแบบชาวพม่านุ่งโสร่ง [ kilt ]
...
ประวัติศาสตร์การรบอันยาวนานของชาวสกอตกับอังกฤษ ทำให้ชาวสกอตไม่ชอบให้ใครเรียกว่า 'English (= คนอังกฤษ)'... ถ้าเรียกว่า 'British (= คนสหราชอาณาจักร)' ก็พอฟังได้ แต่ถ้าจะให้ชอบใจ ควรเรียกว่า 'Scottish (= ชาวสกอต)'
ธรรมดาชาติที่รบชนะจะพยายาม "กลืนชาติ" โดยการทำเป็นยกย่อง หรือนำของดีของชาติที่แพ้มาใช้... อังกฤษก็เช่นกัน เวลามีพิธีการสำคัญๆ จะทำเป็นให้เกียรติกองทหารสกอตทำพิธี เป่าปี่สกอตเสียนิดๆ หน่อยๆ
...
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อังกฤษรบชนะชาวสกอต... นอกจากประชากรที่มากกว่าแล้ว (เมื่อก่อนคนอังกฤษลูกดก) เรื่องที่ลืมไม่ได้คือ เทคโนโลยีที่เหนือกว่า โดยเฉพาะการทำธนูด้วยหัวโลหะ ขณะที่ชาวสกอตยังคงใช้หัวธนูทำด้วยไม้
...
ภาพที่ 2: 'gum art' คือ ศิลปะที่เขียนภาพไปบนหมากฝรั่ง... การทิ้งหมากฝรั่งควรใส่ในกระดาษพับให้เรียบร้อย เพื่อให้บ้านเมืองเราสะอาด นักท่องเที่ยวจะได้มาเที่ยวบ้านเรามากขึ้น > Thank [ flickr ] , [ rahid1 ]
...
ภาพที่ 3: ของห้ามเข้าประเทศสิงคโปร์ = chewing gum (chew = เคี้ยว; gum = หมากฝรั่ง) อาจารย์ที่ถ่ายภาพบอกว่า มีคำเตือนเรื่องค่าปรับทิ้งขยะ 200$ = 7,000 บาทไว้พร้อม > Thank [ flickr ] , [ Alpha Auer ]
ผู้เขียนมีโอกาสไปสิงคโปร์ปี 2518, 2542 ห่างกัน 25 ปี จำไม่ได้ว่า ขากลับนั่งแท็กซี่คันเดิมหรือไม่ แต่น่าจะเป็นคนเดียวกัน
...
เนื่องจากคนพูดพูดเหมือนเดิมเลย คือ พอผ่านศูนย์การค้าแห่งหนึ่งก็จะบ่นว่า คนไทยขี้เมา วันเสาร์ก็รวมกันที่ศูนย์การค้า เมาแล้วก็ตีกัน
พอพูดเรื่องศูนย์การค้าเสร็จแล้วก็จะพูดว่า อยากให้เมืองไทยนำแนวคิดของขงจื่อ (confucion) มาใช้ ทำให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีกฏ ระเบียบ และเคารพกติกา ซึ่งจะทำให้เมืองไทยก้าวหน้าต่อไปได้เร็ว
............................................................................
4 เหตุผลที่ควรเคี้ยวหมากฝรั่งได้แก่
(1). เพิ่มคะแนนสอบ
...
...
(2). ลดความอ้วน
...
...
(3). ป้องกันฟันผุ
...
...
(4). ลดอาการกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease / GERD)
...
(5). เพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง
...
(6). ออกกำลัง
...
(7). เสริมแคลเซียม
...
ทีนี้มาดูข้อเสียของการเคี้ยวหมากฝรั่งบ้าง
...
ยอดขายหมากฝรั่งปี 2551 = $1.2 billion = 1,200 ล้านดอลลาร์ฯ = 42,000 ล้านบาท และยอดขายหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาล (sugar-free) เพิ่มขึ้น 11% ในปีเดียวกัน
หมากฝรั่งเป็นของขบเคี้ยวที่มีมาแต่โบราณแล้ว... ชาวกรีกเรียกมันว่า 'mastiche (= ของขบเคี้ยว)'
...
ชาวมายัน (Mayans = อินเดียนแดงในอเมริกากลาง-ใต้) ทำหมากฝรั่งจากต้น sapodilla และเรียกมันวา 'chicle' (เสียงคล้ายหมากฝรั่งยี่ห้อหนึ่ง คือ 'Chiclet')
ชาวยุโรปที่บุกไปยึดทวีปอเมริกาแถบ New England (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ = อังกฤษใหม่) เรียนรู้วิธีทำหมากฝรั่งจากอินเดียนแดง
...
ทุกวันนี้หมากฝรั่งทำจากยางสังเคราะห์ผสมน้ำตาล ยกเว้นหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาล (sugar-free) ใช้สารซอร์บิทอล (sorbitol) ซึ่งมีอยู่ในพืช เช่น ลูกพรุน ฯลฯ
ซอร์บิทอลขนาดสูงทำให้ท้องเสียได้ และมีรายงานคนไข้ท้องเสียจากการกินหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลมาแล้ว
...
สมัยก่อนมีความเชื่อว่า ถ้ากลืนหมากฝรั่งเข้าไปจะไปเกาะติดหนึบกับกระเพาะอาหาร ความจริงคือ ถ้ากลืนเข้าไปก็จะถ่ายออกมาได้
เรื่องที่น่าสนใจที่สุดของหมากฝรั่ง คือ น่าจะนำไปใช้ลดความอ้วนได้... ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมควบคุมอาหารอเมริกา (Ameircan Dietetic Association) แนะนำว่า
...
ถ้าเคี้ยวหมากฝรั่ง 2 ชิ้น จะได้กำลังงานประมาณ 20 แคลอรี (ต่ำกว่านี้มากถ้าเป็นชนิดไม่มีน้ำตาล)
แต่ถ้ากินคุกกี้ชอคโกแล็ตชิพ 2 ชิ้นจะได้กำลังงานประมาณ 140 แคลอรี (คนส่วนใหญ่จะไม่กิน 2 ชิ้น แต่จะกิน 4-5 ชิ้น - ผู้เขียน)
...
คนไทยเราอ้วนขึ้นเรื่อยๆ หลังเลิกกินหมาก... นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวพม่าส่วนใหญ่ผอม แข็งแรง และมีหุ่นดี
สมัยเนวิน (ตอนที่พม่าใช้ระบบสังคมนิยมเต็มตัว)... ยุคนั้นเป็นยุคที่แทบทุกอย่างหายาก เช่น มีสบู่ยี่ห้อเดียว แชมพูยี่ห้อเดียว ฯลฯ ชอบก็ใช้ ไม่ชอบก็ต้องใช้ (ข้อมูลจากวิศวกรพม่า ซึ่งขอปกปิดชื่อ)
...
เดิมชาวพม่านิยมกินข้าวมื้อหลักๆ 2 มื้อ คือ มื้อสาย (ประมาณ 10.30-11.00 นาฬิกา) กับเย็น (ประมาณ 16.00 นาฬิกา) ที่เหลือกินหมากกับดื่มน้ำชา เดินมาก ทำงานใช้แรงมาก
พระภิกษุ-สามเณรชาวพม่านิยมฉันข้าวต้มตอนเช้า ฉันมื้อสาย (10.30 นาฬิกา) ไม่ค่อยฉันจุบจิบ เดินมาก และทำงานใช้แรงมาก นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวพม่าส่วนใหญ่มีหุ่นดี
...
ผู้เขียนสังเกตว่า ชาวพม่าที่ไม่กินหมาก (เป็นแนวโน้มของคนในเมืองใหญ่) มีแนวโน้มจะอ้วนมากกว่าชาวพม่าที่กินหมากชัดเจน
บางทีความลับของความผอมอาจจะอยู่ในหมาก หรือหมากฝรั่งก็เป็นไปได้ เพราะว่า 'Human beings were born to be chewing animals.' = "มนุษยชาติ (คนเรา) เกิดมาเป็นสัตว์ที่เคี้ยวไปเรื่อย (เลยอ้วนเลย)"
...
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
...
> Thank CNN, [ flickr ] , [ rahid1 ] , [ flickr ] , [ Alpha Auer ] , [ flickr ] , [ the rocketeer ]
ที่มา
ไม่มีความเห็น