ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ต่างคน ต่างคิด ต่างโกรธแค้น ต่างทำลายซึ่งกันและกัน ลืมคำว่า “เมตตา” กับ “กรุณา” และ “มุทิตา” กับ “อุเบกขา” ในพรหมวิหาร 4 ธรรมอันวิเศษที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ได้ถูกลืมไปตามกระแสกิเลส ตัณหาของคน
มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง ปัจจุบันหายากแล้วนะคะ “มนุษย์” เพราะผิดศีล 5 ก็ขาดจากความเป็นมนุษย์แล้วค่ะ ถ้าดูทีวี ฟังวิทยุ ท่ามกลางความขัดแย้ง สิ่งที่เราได้เห็นอันดับแรกก็คือ การผิดศีลข้อ 4 ค่ะ เห็นไหมค่ะ เราลืมไปแล้วค่ะ ธรรมของพระพุทธเจ้า เราทิ้งกันไปแล้วค่ะ เฮ้อ! น่าสงสารจริงๆ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงพ้นทุกข์
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้อาฆาต พยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ ทุกคน (ย้อนหลังค่ะ)
ฉบับที่ ๐๓๕ พฤหัสบดีที่ ๐๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จากใจบก.กลางชล
ปรายตาดูปฏิทินแล้วทักทายคุณผู้อ่านไม่ถูกเลยค่ะ
ว่าจะโปรยยิ้มมาพร้อมกับกุหลาบในมือ หรือถือซองแดงมาฝากดี
เอาเป็นว่า ขอเสียบดอกไม้ใส่อั่งเปามาฝากคุณผู้อ่านทุก ๆ ท่านก็แล้วกันนะคะ ^_^
จำได้ว่า มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลวันแห่งความรัก
คนที่ร้านดอกไม้เล่าให้ฟังว่า มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งจากโรงเรียนชื่อดัง
สั่งซื้อดอกไม้ช่อละเจ็ดพัน (o_O!) ส่งให้เพื่อนสาวที่กำลังจีบอยู่
ประมาณว่าขอให้ใหญ่กว่าสวยกว่า ข่มเพื่อนชายอีกคนที่ให้ช่อดอกไม้เธอไปก่อนหน้า
ฟังแล้วก็ โอ้โฮ... ม.ปลายเอง ซื้อได้ยังไงนะคะนี่ ช่อละค่อนหมื่น
รุ่นพี่ทางธรรมที่คุยอยู่ด้วยกันแสดงความเห็นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
"ของแบบนี้ไม่ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วจะซื้อได้นะ..."
"เหรอคะ... ทำไมล่ะคะ?"
"ต้องมีความโง่ด้วย..." (อ่า...)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อย่างไรดอกกุหลาบก็ยังคงครองแชมป์ขายดีที่สุดในวันวาเลนไทน์
แต่ก็จะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งนะคะ หากคู่รักหลาย ๆ คู่ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์นี้
แต่กลับมองข้ามวิธีการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมในอีกรูปแบบ ที่ทำได้ทุกวัน
แบบที่กระเป๋าสตางค์ไม่ต้องรั่วไหล และให้ผลเป็นความสุขใจที่ยั่งยืนกว่ากันมากทีเดียว
คนเรามักจะเกรงใจ และมีอัธยาศัยอันดีกับคนอื่นรอบตัวได้โดยง่าย
แต่กับคนที่เรารักและใกล้ชิดที่สุดนี่แหละ
ที่หลายครั้ง เรากลับสร้างความยุ่งยากใจ สร้างความรุ่มร้อนต่อกันได้ง่ายที่สุด
ด้วยวิธีคิด วิธีพูด และวิธีการแสดงออกของเราเอง
ยามไม่พอใจ เราอาจกระแทกวาจาทำร้ายกันได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
ยามเหนื่อยหน่าย เราอาจไม่พูดไม่จา เห็นการถามไถ่ใยดีของอีกฝ่ายเป็นความน่ารำคาญ
ยามรักเกินงาม เราอาจเห็นเขาเป็นสมบัติส่วนตัวที่ขอหวงแหนไว้โคจรรอบตัวเราอย่างใจ
ยามมีปัญหาขัดใจ เราอาจหยิบร้อยเรื่องสารพัดงัดแย้งมาโทษกันว่า "แล้วทีเธอ...!" ฯลฯ
การกระทบกันอาจดูเหมือนเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ของชีวิตคู่ แต่จะไม่ดีกว่าหรือ...
หากจะทำชายคาที่อยู่ร่วมกันนั้นให้ร่มเย็น และทำชีวิตที่อยู่ร่วมกันให้เป็นบ้าน ไม่ใช่คุก
เพราะวันหนึ่ง เมื่อคนรักของเราพบว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป ก็อาจสายไปเสียแล้ว
คุณดังตฤณเคยแนะนำไว้ค่ะว่า วิธีที่จะสร้างกระแสความเย็นต่อกัน
อันเป็นเครื่องเกื้อหนุนให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นนั้น อยู่ที่ความเป็นตัวเราทั้งหมดนี่แหละ
ทั้งกระแสความเย็นจากการกระทำ กระแสความเย็นจากน้ำเสียงและวิธีพูด
และสิ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือกระแสความเย็นจากจิต จากตัวเราเอง
โดย การกระทำ นั้น ขอเพียงมีกายที่สะอาด มีศีลสัตย์ต่อคู่รักของตน ช่วยเหลือเกื้อกูล
มีอะไรผ่อนแรงได้ก็ช่วยกัน คู่รักเหนื่อยอ่อนก็บีบนวดให้คลายเมื่อย แค่นี้ก็เย็นใจได้แล้ว
แถมบางคู่นั้น ชวนกันสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็ยิ่งเป็นความเย็นใจต่อกันขึ้นไปอีกแบบด้วยค่ะ
ส่วนการใช้ น้ำเสียงและวิธีพูด นั้น อยู่ที่ทั้งการพูดจากันปกติ และยามมีปัญหาขัดแย้งกัน
หลายคนมักไม่รู้ตัวว่า แม้คำสุภาพคำเล็ก ๆ เช่น "นี่!" หรือ "คุณ!" ที่กระแทกเสียงหนัก ๆ
ในตอนต้น ก็พร้อมที่จะเปิดศึกลากจูงกระแสร้อนแบบเดียวกันตามมาได้เป็นขบวนแล้ว
จุดเริ่มต้นจึงไม่ได้อยู่ที่ลมปาก แต่อยู่ที่เจตนาจะพูดกันด้วยเมตตาอย่างแท้จริง
ถ้ากำหนดจิตไว้แต่แรกแล้วว่า อย่างไรลงท้ายที่สุดต้องเป็นคำสุภาพที่ออกมาจากใจ
ด้วยเจตนาที่จะปรับความเข้าใจกันอย่างแท้จริง เรื่องร้อนก็ย่อมกลายเป็นเย็นลงได้แน่นอนค่ะ
และสุดท้าย จิต ของเรานั่นเอง เชื่อไหมคะว่า ความคิดคนเรามีลักษณะเป็นคลื่นบวกลบอยู่
และที่สำคัญ กระแสความคิดของคนเรา สามารถก่อกระแสความเย็น
หรือกระแสความร้อนให้จิตคนอื่นสัมผัสได้จริง
ลองดูเถอะค่ะ ลองถ้าเราเจาะจงคิดร้าย คิดร้อน คิดด่าทอ หรือคิดจะทำร้ายกัน
อีกฝ่ายแค่เดินเข้ามาใกล้ ก็อาจรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูกได้แล้ว
แต่ถ้าอีกฝ่ายมีแต่ความเย็นใจ แม้ไม่ต้องพูดอะไร แค่เข้าใกล้ก็สัมผัสความเย็นนั้นได้เช่นกัน
คุณดังตฤณแนะไว้ด้วยว่า เมื่อลงลึกมาถึงระดับความคิดและกระแสความเย็นจากจิตนี้แล้ว
ก็จะทำให้เรานึกถึงคำว่า "บุญ" ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะบุญนั้นคือความเย็น คือคุณงามความดี
เป็นกระแสนามธรรมด้านบวกที่เริ่มต้นจากจิต จากความนึกคิด จากคำพูด จากการกระทำ
ทั้งที่มีต่อกัน และทั้งเพื่อคนอื่น ๆ ในสังคม
และเรื่องง่าย ๆ อย่างเช่น การชวนกันไปทำบุญด้วยศรัทธาเดียวกัน
จัดหาข้าวของถวายพระ หรือช่วยเหลือคนด้อยโอกาส ด้วยน้ำจิตน้ำใจที่เป็นหนึ่ง
ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำนี่เอง ก็สามารถเป็นต้นแหล่งของความคิดเยือกเย็นใหญ่
ที่จะพลอยทำให้ความคิดอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันเยือกเย็นไปด้วยได้แล้วค่ะ
การที่คนเราจะเกิดมาคู่กันได้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะคะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ
ประการแรก คือ เคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ประการที่สองคือ ชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน
ดังนั้น จะอาศัยเพียงความรู้สึกดีในชั้นแรกที่พบกัน จากกรรมเก่าที่เคยสานร่วมกันมานั้น
ย่อมไม่เพียงพอแน่นอน การที่ชาตินี้ต่างฝ่ายต่างได้เกื้อกูลกัน ทั้งทางกาย ทางวาจา
และทางจิตหรือวิธีคิดนี่แหละค่ะ ที่จะทำให้ความรักอย่างลึกซึ้งมั่นคงเกิดขึ้นได้
บางที วาเลนไทน์นี้ อาจทำให้เราย้อนกลับมาคิดได้อีกสักนิดหนึ่งนะคะ…
ว่าทุกวันนี้ เราให้ "ดอกไม้" แบบไหนกับคนข้าง ๆ เราอยู่ แบบที่แพงหน่อย
แต่วันเดียวก็เหี่ยวเฉา หรือแบบที่ราคาย่อมเยา แต่กลับทำให้เรารักไม่เก่าเลย...
ขอให้พบคู่บุญและมีรักแท้นะคะ
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองนะคะ
ไม่มีความเห็น