การได้สัญชาติโดยการแปลงสัญชาตินี้เกิดขึ้นจากเจตนาหรือความประสงค์ของเอกชนที่จะมีสัญชาติไทย[1] และการขอแปลงสัญชาติตาม[2]โดยหลักของกฎหมายสัญชาติแล้วจะกำหนดเงื่อนไขหรือคุณสมบัติของผู้ที่จะแปลงสัญชาติว่าจะต้องมีคุณสมบัติอย่างใดบ้าง นอกจากนี้แล้ว การที่คนต่างด้าวจะได้รับสัญชาติโดยการแปลงสัญชาตินั้นยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะฝ่ายปกครองอีกด้วย ว่าจะมีคำสั่งทางปกครองอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวผู้นั้นมีสัญชาติไทยหรือไม่ หมายความว่าการที่คนต่างด้าวมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น เป็นแต่เพียงเหตุให้มีการยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติได้เท่านั้น อำนาจเด็จขาดที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวถือสัญชาติไทยได้หรือไม่ยังคงอยู่กับรัฐเจ้าของสัญชาติ
การได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ จะมีผลก็ต่อเมื่อมีคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตราบใดที่คำสั่งดังกล่าวยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจะถือว่าคนต่างด้าวผู้นั้นมีสัญชาติไทยไม่ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การประกาศคำสั่งในราชกิจจานุเบกษา ถือว่าเป็นเงื่อนไขความสมบูรณ์ของคำสั่งดังกล่าว และผลการแปลงสัญชาตินี้ให้มีผลเฉพาะตัวเท่านั้น (รายละเอียดอ่านที่เชิงอรรถ 61)[3]
[1] มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ 2508.
[2] มาตรา12 , แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ 2551.
ผู้ใดประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ถ้าผู้ประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยตามวรรคหนึ่งมีบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไทย และบุตรนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย อาจขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้แก่บุตรพร้อมกับตนได้ โดยบุตรนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๐ (๑) (๓) (๔) และ (๕)
[3] โปรดอ่าน, http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=82&d_id=82
ไม่มีความเห็น