ผมอ่านบทความเรื่อง The Next Innovation Revolution เขียนโดย Susan Hockfield อธิการบดีของ MIT แล้วเกิดแรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้
ผมอยากให้อธิการบดีของมหาวิทยาลัยไทย ที่จัดว่าเป็น science-based university ได้อ่านบทความสั้นๆ นี้ และอยากให้แต่ละอธิการบดีได้เขียนบทความทำนองนี้ลงพิมพ์ในวารสารวิชาการของประเทศ ปีละครั้ง
ผมอยากให้ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสนับสนุนการวิจัย วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม ได้อ่านบทความนี้ และอยากให้ท่านเหล่านี้เขียนบทความทำนองนี้ลงในนิตยสารสำหรับปัญญาชนของประเทศ ปีละครั้ง
ถ้ามีการกระทำตาม “ผมอยาก” ๒ ข้อข้างบน ก็จะเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่งในสังคมไทย
ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง innovation ที่เหมาะสมต่อสังคมไทย ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่จะคิดแบบเดียวกันกับที่ท่านอธิการบดี Susan Hockfield เขียนเสนอต่อสังคมอเมริกัน ผมตีความว่า The Next Innovation Revolution ของท่านอธิการบดี Susan Hockfield เป็นนวัตกรรมระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งไทยเราไม่ควรเข้าไปแข่งหรือมุ่งหวัง เราต้องฉลาดในการหา niche ของเราเอง
ผมมองว่าเราต้องฉลาดในการ “ขี่กระแส” หรือ “ยืนบนบ่ายักษ์” ซึ่งจริงๆ แล้วจะมีกุศโลบายอย่างไรต้องช่วยกันคิด โดยน่าจะใช้วิธีการ foresight เป็นเครื่องมือร่วมกันคิด
เมื่อ กกอ. ตั้งตัวติดแล้ว เราน่าจะลองจัดกระบวนการหาจุดยืนสำหรับงาน innovation ของประเทศไทย สำหรับเป็นแนวทางของการหา convergence ของศาสตร์ใน ๑๐ ปีข้างหน้า มิฉนั้น คนในศาสตร์ต่างๆ ของไทยก็จะยังต่างคนต่างทำกันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในอดีตและปัจจุบัน
Innovation ที่เหมาะสมต่อสังคมไทย ก็เช่นเดียวกับ innovation ระดับโลก ที่ต้องการ convergence ที่คนในต่างศาสตร์เข้ามาร่วมกันสร้าง synergy
วิจารณ์ พานิช
๒ มี.ค. ๕๒
ไม่มีความเห็น