"ใช้ธรรมชาตินี้แหละเป็นเสมือนหนึ่งยาอายุวัฒนะ..
อยู่อย่างธรรมชาติ...
ใช้ธรรมชาติเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต"...
สมบูรณ์ วรพงษ์ ที่กล่าวถึงวิถีชีวิตของ...ศาสตราจารย์ระพี สาคริก
ในหนังสือชีวจิต ปีที่ 6 ฉบับที่ 134 1 พฤษภาคม 2547
ท้ายเล่ม...
คุณแม่ท่านวางหนังสือเล่มนี้...ไว้บนโต๊ะ ใกล้ๆ ตั่งที่ท่านใช่นั่งและนอนเล่นยามบ่าย
ข้าพเจ้าเดินเข้าบ้านมาทันได้หยิบมาอ่าน หากดูล่องรอยวันนี้ท่านคงรื้นค้นและจัดระบบระเบียบหนังสือในบ้านใหม่ ตั้งแต่เด็กจนโตเท่าที่จำความได้ ที่บ้านจะมีหนังสือเต็มไปหมดทุกๆ มุมบ้าน เราถูกปลูกฝังในเรื่องการอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก... ของขวัญที่เราได้รับบ่อยและเป็นประจำจากพ่อและแม่คือ หนังสือ...
เป็นคนที่สะสมหนังสือ...และอ่านหนังสือประจำ ทุกรูปแบบ...
การที่ได้หยิบหนังสือนำขึ้นมาอ่านต่อจากคุณแม่...ทำให้ได้เห็นถึงถ้อยความดังกล่าวข้างต้น ทำให้น้อมกลับมาทบทวนต่อตนเอง ในเรื่องเล่าที่คุณสมบูรณ์ วรพงษ์กล่าวถึงท่าน ศ.ระพีนั้นว่าท่านพิสมัยในเรื่องความสุขทางใจมากเหนือกว่ายิ่งอื่นใด... ท่านละการอยู่ในเมืองกรุงไปใช้ชีวิตที่เมืองเลย...
"ท่านเหล่านี้อายุยืนยาวกว่าคนกรุงแน่นอน ในจังหวัดเลย ชีวิตที่ท่านไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับความแออัดของจราจร ความเครียดของชีวิตที่เร่งรีบ อาหารตามร้านฟาสฟูต หรือยืนแออัดในรถโดยสารประจำทางไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน
เราจะแสวงหาชีวิตกับธรรมชาติไม่ได้ หากเรายังต้องการแข่งขันความมักได้ใคร่ดีของชาวกรุง"
นี่เป็นอีกถ้อยความที่ท่านกล่าวถึงกันและกัน...
ข้าพเจ้าเคยใช้ชีวิตที่เมืองกรุงกว่าค่อนทศวรรษ... เพื่อการศึกษา เป็นการใช้ชีวิตที่มองหาความรื่นรมย์จากธรรมชาติได้ยากนัก...เป็นการดำเนินชีวิตไปตามวัฏวนอย่างชัดเลย การใช้ชีวิตช้าลงที่เมืองแทบจะใช้ไม่ได้ ทุกๆ สัปดาห์ข้าพเจ้าเป็นต้องขับรถกลับขอนแก่น หรือไม่ก็ยโสธร...ขับรถเทียวยิ่งกว่าระหว่างเมืองนี้ใกล้นิดเดียว...
หลังจากที่กระบวนการเรียนในระบบเสร็จสิ้น...
ทันทีที่ได้ตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน "ยโสธร-ขอนแก่น"...
ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดอีกครั้งในชีวิต เหมือนได้ reset ตัวเองใหม่หมด โดยกระบวนการเยียวยาทางธรรมชาติ... ทำให้หวนนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินอ.หมอท่านหนึ่งบอกผู้ป่วยมะเร็งท่านหนึ่งว่า ให้รีบย้ายตนเองไปอยู่บ้านนอกโดยด่วนเพื่อกระตุ้นการเยียวยาของร่างกาย... จากนั้น รายนี้กลับมาพบท่านตามนัด ปรากฏว่าผลการตรวจหลายๆ อย่างกลับดีขึ้นอย่างน่าชื่นใจ...
ณ ตอนนั้น
เส้นทางการเลือกการงานของเรามีทางเลือกได้มากมาย หน้าที่การงานอันยิ่งใหญ่แห่งโลกย์.. เราสามารถเลือกได้ และทำได้ แต่เราไม่เลือก... ข้าพเจ้าเลือกและตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตช่วงที่เหลืออยู่...อย่างตามความรู้สึกที่มีคุณค่าว่า ... "กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับแม่"... เพราะไม่รู้ว่าเราหรือแม่...มีโอกาสมากน้อยกว่ากันเท่าไรในการใช้ชีวิตที่มีอยู่... แต่อย่างน้อย เราได้น้อมกลับมาทำหน้าที่ "ลูก" ... ตอบแทนบุญคุณท่าน ท่านไม่ยึดเราหรอก เราจะไปทำงานต่างประเทศ...ไหนๆ ท่านก็ไม่ว่า ไม่ห้ามเพราะท่านรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข สิ่งไหนดีต่อเรา ท่านปรารถนาเสมอ...ไม่เคยรั้งเพื่ออนาคตของลูก
ความตั้งใจที่ปรากฏ...ว่าสิ่งไหนๆ ก็ได้ลองทำลองเรียนรู้มาหมดแล้ว เหลือภาระสุดท้ายคือ การลองทดแทนคุณท่านด้วยการอยู่ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด โดยที่ไม่ต้องรอว่า ตั้งตัว - ฐานะ หรือแก่เฒ่าก่อนแล้วค่อยทำ อยากเรียนรู้การลงมือทำ ณ ตอนนี้เลย ตอนที่เป็นการสวนกระแสแห่ง "โลกย์" ที่ใครๆ ก็มักถูกดึงดูดเข้าหาทั้งอย่างไม่รู้ตัว และรู้ตัวแต่ต้านทานอย่างไร้กำลัง...
เมื่อได้ดำรงอยู่... ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง .. ปรากฏการณ์ความใจเบาเบา... นิ่งเย็น... ความรื่นรมย์ในชีวิตกลับเพิ่มพูน ชีวิตที่ช้าลง แต่หากรวดเร็วในผลลัพธ์ เป็นรางวัลที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิดว่าจะได้รับได้เจอ...
เครื่องพันธนาการต่างๆ ปลดออกไปได้เยอะ
เหลือไว้เพียงการดำรง...และใช้ชีวิตตามลมหายใจที่มีอยู่นี้ให้เกิดคุณค่า...
ทุกเช้าวัน...ส่วนใหญ่ใช้จักรยาน ปั่นไปใส่บาตร... ตอนเย็นปั่นจักรยานไปวิ่ง หรือปั่นไปชมธรรมชาติอย่างรื่นรมย์ใจ ความใกล้ชิดต่อผู้คน สิ่งมีชีวิต และสรรพสิ่งต่างๆ มีมากขึ้น...นานๆ ครั้งเข้าเมืองกรุงทำประโยชน์ต่อเมืองกรุง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยุดต่อการทำประโยชน์เพื่อสรรพสิ่งอื่นๆ เพียงแต่เราไม่ได้เลือกทำในพื้นที่ที่ยิ่งใหญ่ทางกายภาพ หากแต่เราเลือกทำ...บนพื้นที่ทาง "จิตใจ"...มากกว่า
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย...อย่างไม่หลงทาง ทำให้ได้พบความยิ่งใหญ่..แห่งความหมายการเกิดและตายได้อย่างซึ้งลงไปในใจยิ่งนัก
เส้นทางการปั่นจักรยานเมื่อยามอยู่ขอนแก่น
บางครั้งปั่นรอบเมือง...
ปั่นไปแวะถ่ายรูปไปด้วยรื่นรมย์ยิ่งนัก
----------------------------------------------
ถอดบทเรียนในตนเอง
จากภายนอกน้อมสู่ภายใน
"ชีวิต" ย่อมเลือกได้...
สงบ...วุ่นวาย
เรียบง่าย...ซับซ้อน
"ชีวิต" กับ "ธรรม" ชาติ สงบและเรียบง่ายครับ...
ขอบคุณครับผม...
สิ่งที่ยากที่สุดของมนุษย์ คือ "ความง่าย" นี่แหละค่ะ
เรามักวิ่งห่างออกไปทุกทีทุกที...
และมนุษย์เรามักวิ่งเข้าหาความซับซ้อน...เสมอ
ทุกขณะจิต...
(^__^)
ขอบคุณนะคะ
วันนี้ปั่นจักรยาน...คันนี้อย่างรื่นรมย์...
เป็นจำพวก "บ้ารถถีบ"... มีความสุขเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจักรยาน...
ชอบบันทึกนี้จังค่ะ.คุณกะปุ๋ม..
อยู่กับธรรมชาติ..หรือการปลีกออกมาจากการมีชีวิตในเมือง..ตัวเองรู้สึกว่า..จะมีความนิ่งมากขึ้น..และมองโลกตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น..ว่าชีวิตเรายังมีวิถีอีกแบบ..ที่น่าเป็นสุขอย่างยิ่ง..และเห็นถึงสิ่งที่น่าเรียนรู้..ในชีวิตอีกมากมาย..ที่สำคัญ..มีความรื่นรมย์ในชีวิตยิ่งกว่าค่ะ..
...
คุณกะปุ๋ม..สบายดี..มีความผาสุก..ในจิตใจเสมอนะคะ..^^
ขอบคุณค่ะครู.... คุณครูแอ๊ว
กะปุ๋มกำลังจะไปนอนพอดีเลยค่ะ แวะมาดูอีกที ครูแอ๊วมาทักทาย...จึงอดใจไม่ไหวที่จะขอทักตอบก่อนเข้านอนค่ะ...
ชอบน้ำเสียงเวลาที่ครูมาพูดคุย...เสียงใสใส เจื้อยแจ้วน่าฟัง... วันนี้ได้แลกเปลี่ยนกับกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง Mr.Direct ในประเด็นที่ว่าชอบอ่านบันทึกทำให้มองเห็นเข้าไปในใจของผู้เขียนได้ดีผ่านอักษร...นี่
ขอบคุณความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ...ที่นำพาสภาวะแห่งการได้มองสิ่งต่างๆ รอบด้านอย่างลุ่มลึกมากขึ้นค่ะ
(^___^)
ขอบคุณครู..ที่แวะมาทักทายนะคะ
ความเรียบง่ายภายใน ย่อมสุขยิ่งกว่า
ความธรรมดา..นี่ทำยากค่ะ
แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องเรียนรู้ไปสู่ความเป็น "ธรรมดา"...
(^___^)
ขอบพระคุณ
คุณ.. 6. นิตยา จรัสแสง
ขอบพระคุณค่ะคุณพ่อ... 8. พ่อน้องซอมพอ
ดีใจมากเลยค่ะ ที่มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวดีดีนี้...
จำได้ว่าครั้งแรกที่ปั่นจักรยานมาทำงาน.. "อาย กลัว ไม่กล้า"... ระยะทางจากบ้านห่างจากที่ทำงานสามกิโลเมตร... เคยคิดที่จะไปทำงานอยู่ที่ลาว เพื่อนลาออกจากราชการไปเป็นนักบำบัดเด็กออทิสติก และอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว... เรากะว่าไปอยู่ที่นั่นเพื่อที่ว่าเราจะได้ปั่นจักรยาน...
แต่พอตื่นขึ้นมาจากความหลับใหลอันยาวนาน ... ได้คิดว่า
อืม...อยู่ที่บ้านเราหรือที่ไหน ๆ เราก็ปั่นได้เหมือนกันนี่...
เท่านั้นแหละค่ะ...เปิดประตู "ใจ" ออก แล้วก้าวออกมาจากความกลัว ความอาย ความไม่กล้า... คว้าจักรยานได้ ปั่นออกมาสู่ "ความอิสระ" และเราก็พบว่า "ความเป็นอิสระนี้เป็นจักรวาลที่ก้าวใหญ่มาก"... เราได้พบและได้เรียนรู้อะไรมากมายในความเป็นชีวิตของสรรพสิ่งต่างๆ... โดยเฉพาะ "จักรวาลในใจเรา"...
(^___^)
แง่มุมละเอียดที่น้องกะปุ๋มถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือมาแบ่งปันนี้ อ่านแล้วสบายใจ ได้ข้อคิดจากสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำประจำวันนะคะ
เมื่อใดก็ตามที่เราแยกชีวิตของเราออกจากธรรมชาติ หรือแม้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแต่ไม่ได้มีความเข้าใจ สนใจ ที่จะน้อมนำสิ่งที่ธรรมชาติแสดงให้ประจักษ์ นับว่าเป็นอันตรายต่อบุคคลผู้นั้นเอง และบุคคลอื่นที่อยู่โดยรอบด้วย เพราะเขาจะไม่เข้าใจคำว่าสงบ ร่มเย็น
จากเรื่องเล่าสั้นที่อยากเล่าให้ฟังค่ะพี่นุช... คุณนายดอกเตอร์
แม้บางครั้ง...ได้เดินไปตามซอกซอยแคบๆ ที่วิถีชีวิตเราอาจจะไม่ได้อยากเดินเข้าไป แต่เมื่อได้เดินเข้าไปแล้ว...สภาพเบื้องหน้าที่เราเจอ ซอกของห้องเล็ก ๆ ที่เท่ากับขนาดซุกตัวเข้าไปนอนได้ ไม่มีอาณาบริเวณใดใด ... หากแต่เป็นที่ซุกนอน เพียงเพื่อได้เอนตัวล้มนอนจริงๆ ... ความปรากฏแห่งการปรับตัว เราก็น้อมลงดำรงอยู่ร่วมกับบุคคลที่ให้เกียรติเราได้เยือนและเรียนรู้แหล่งพักพิงที่ต้องอาศัยอยู่เมื่อโยกย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองกรุง...
นี่ก็เป็น ธรรมชาติหากแต่เป็นธรรมชาติของชีวิต ที่ภาพต่างๆ จากธรรมชาติท้องทุ่งนา...ป่าไม้ ขุนเขาและทะเล...
คำถามปรากฏ...ไม่คิดถึงท้องทุ่งนา หรือหากว่าคิดถึงนั่นน่ะก็ต้องอดทน ...
(^___^)
สวัสดีค่ะ
ดีใจจังที่ไปทักทายกัน ขอบคุณนะคะ...
เอามาเติม....ค่ะ...