บทที่สาม คนดี บ้า คนบ้า บ้า


ขอเพียงแต่ให้ความยุติธรรมมีวิธีการคิดต่อท่านผู้ทำความดีเหล่านั้นอย่างผู้ที่คิดเป็น ไม่ต้องใช้การศึกษาในมหาวิทยาลัยสูงใดๆ และขอเพียงแต่อย่ามองข้ามความดี อย่าเหยียบย่ำความดีของโลกนี้ โลกนี้จะได้ชะลอการก้าวสู่กลียุคช้าลงกว่านี้

บทที่สาม คนดี-บ้า และคนบ้า-บ้า

 

                เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะดี หรือไม่หัวเราะจึงจะดี ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเรื่องเศร้า จึงไม่ตั้งคำถามที่สามว่าหรือจะร้องไห้ดี  วิถีชีวิตของ คน มีหลายอย่างที่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก แต่ก็เกิดขึ้นในชีวิต คน และตราบเท่าที่คนเลิกที่จะหาคำตอบ คำตอบก็ทำท่าว่าจะแสดงตัวให้เห็นทั้งที่ตอนที่อยากได้คำตอบมาก สู้อุตส่าห์ใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ได้คำตอบ กลับไม่ได้ ฉะนั้น  หากหลังจากอ่านบทนี้แล้วมีคำถามเกิดขึ้น ขอเพียงแต่ไม่อยากได้คำตอบก็น่าจะทำให้คำตอบรออยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี 

 

บทนี้ จะเป็นบทของคำถามเสียส่วนใหญ่  โดยเฉพาะคำถามนี้ คือ เคยเจอบ้างไหมกับคนดีที่เสียสละมากจนกระทั่งใครๆมองว่าเป็นคนบ้า และ เคยเจอบ้างไหมที่คนบ้าพยายามทำความดีก็ยังเป็นคนบ้าอยู่นั่นเอง

 

เป็นธรรมดาที่วิธีการคิดของคนเราแตกต่างกัน พฤติกรรมมนุษย์ที่แสดงออกก็เกิดมาจากวิธีการคิดที่แตกต่าง คิดว่าชีวิตนี้เป็นเรื่องจริงๆหรือเรื่องเล่นๆ ถ้าคิดว่าเป็นความจริงฟังดูแล้วเหมือนว่าจะน่าเครียดหากว่าในความเป็นจริงมีแต่เรื่องทุกข์เรื่องเศร้า ถ้าคิดว่าเป็นแค่เล่นๆและเป็นเรื่องฝันๆ คน ก็กล้าที่จะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเป็นเดิมพันกับอีกหลายเรื่อง  แต่ไม่ว่าการเริ่มต้นคิดว่าชีวิตเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเล่นๆก็ตาม  ถ้ากล้าที่จะเริ่มต้นคิดแล้ว ต้องกล้าที่จะคิดต่อไป ว่าจะเกิดอะไรตามมากับการคิดและมีพฤติกรรมอันเป็นผลพวงจากการคิดนั้นบ้าง  จากวิธีการคิดที่คิดอย่างนั้น และทำอย่างที่คิด  การคิดจึงควรให้มีหลายชั้นและคิดอย่างต่อเนื่อง  หากว่าไม่คุ้นเคยกับการคิดดังกล่าวการฝึกบ่อยๆ และเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน น่าจะช่วยให้มองโลกอย่างตรงความเป็นจริงได้มากขึ้น  และช่วยให้ไม่ผิดพลาดกับการมองคนเองและการมองผู้อื่น  บางคนอาจไม่คุ้นเคยกับวิธีการคิดหลายชั้นและคิดอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงการเชื่อมโยงเรื่องราวด้วยเส้นทางที่เป็นกุศลจิต หรือศัพท์สมัยใหม่น่าจะเข้าได้กับการมองโลกเชิงบวก และเสียโอกาสที่จะฝึก ปล่อยให้โอกาสที่มีอยู่ติดปีกบินจากไปบ่อยครั้ง ผลที่ตามมาคือ การมองโลกนี้บิดเบือนจากความเป็นจริง  สิ่งที่เห็นจากขาวเป็นดำ จากดำเป็นขาว  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บนรถเมล์จะเห็นหนุ่มสาวนั่งเฉย ในขณะที่ผู้สูงวัยบางคนทนไม่ได้  ต้องกลับเป็นฝ่ายลุกให้เด็กนักเรียนเล็กๆได้นั่ง  แต่เป็นเรื่องแปลกในสายตาของคนหนุ่มสาวว่าผู้สูงวัยคนนั้น บ้า อาจมีบางคำตามมาว่า แก่แล้วไม่... แต่กระนั้นก็เถอะอาจเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาในโลกสมัยนี้  แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดา ที่ต้องกล้าคิดต่อว่า แล้วหนุ่มสาวล่ะ ไม่แก่แต่ทำไมไม่กล้าเสียสละ  ก็อาจได้คำตอบว่า ไม่ใช่ฉัน ไม่อยากถูกโห่ว่าอยากเป็นฮีโร่  ขอนั่งหลับตาต่อ กว่าจะลงอีกตั้งไกล คิดต่ออีกนิดดีไหมว่าถ้าเป็นฮีโร่จะเสียหายอะไร  ถ้าถูกโห่เพราะทำสิ่งดีจะเสียหายมากมายนักหรือ  นี่เป็นเพียงข้ออ้าง  ไม่ ใช่เหตุผล  และเพราะวิธีการคิดอย่างนี้นี่เองแหละ ในทุกวันนี้ เราจึงมักได้เห็นคนดีกลายเป็นคนบ้า ส่วนคนบ้าที่พยายามทำความดีก็ยังบ้าอยู่ดี  ทำไมหรือก็เพราะว่า วิธีการคิดอีกนั่นแหละที่มีอิทธิพลให้การมองโลกนี้บิดเบือน  คนทำความดีกล้าเสียสละจึงมักจะเป็นคนดีที่ได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว เพราะกลายเป็นคนบ้าในสายตาของคนที่คิดว่าโลกนี้เป็นเรื่องเล่นๆ  ซึ่งวิธีการคิดของเขาที่มุ่งมองว่าความคิดของตนเองถูกต้องที่สุด ตนเองรู้เรื่องมากที่สุด จึงมองข้ามวิธีการคิดของผู้อื่น  มองข้ามการเสียสละของผู้อื่น  และเหยียบย่ำการเสียสละของผู้อื่นว่าเป็น บ้า  แต่ในเวลาเดียวกันเมื่อมีคนที่ถูกเรียกว่าเป็น คนบ้า บนรถเมล์ลุกให้ผู้ที่อ่อนแอกว่านั่ง คนบ้านั้นก็ยังถูกเหยียบย่ำว่าเป็น คนบ้าอยู่ดี เพราะอะไรหรือ เพราะวิธีการคิดของ คนดีแล้วอย่างไรล่ะ เพราะคนที่คิดว่าตนเองเป็น คนดีแล้ว ก็ยังมองข้ามวิธีการคิดและการเสียสละของผู้อื่นอยู่ดี  เป็นไปได้หรือไม่ที่คนดีแล้วจะกล้าคิดต่ออีกสักนิด เชื่อมโยงเรื่องราวอีกสักหน่อยอย่างมีจิตที่เป็นกุศล มีการคิดเชิงบวก คิดอย่างต่อเนื่อง เป็นฉากๆ เป็นเรื่องราว ถ้าเด็กหรือคนอ่อนแอบนรถเมล์ไม่มีต้นแบบการเสียสละ  ไม่ว่าต้นแบบนั้นจะเป็น คนบ้าหรือไม่ คำถามมีอยู่อีกว่าในวันข้างหน้าเด็กหรือผู้อ่อนแอกว่ากลายเป็นผู้ใหญ่หรือกลับแข็งแรงขึ้น แต่ คนดีแล้วกลับอ่อนแอลง  ถ้าวันนั้นมาถึงใครจะเป็นผู้เสียสละที่นั่งบนรถเมล์ให้  ในสังคมยังมีอีกหลายเรื่องไม่แต่เพียงการเสียสละบนรถเมล์เท่านั้น  พี่เสียสละให้น้อง น้องเสียสละให้พี่ ครูเสียสละให้ลูกศิษย์ ผู้ใหญ่เสียสละให้เด็ก หรือคนรักเสียสละให้แก่คู่รักของตนเอง  กลายเป็นเรื่องของ การบ้าหรือไม่  อยู่ที่วิธีการคิดและมุมมอง  ที่มองข้ามความดีของบุคคลหรือเปล่า  เหยียบย่ำความดีของบุคคลหรือเปล่า 

แม้ว่า วิถีชีวิตของ คนจะมีเรื่องที่เข้าใจได้ยาก  แต่ตราบใดที่โลกนี้ยังมีผู้เสียสละและกระทำความดี    ผู้ทำความดี ย่อมยังเป็นคนดี และคนบ้าผู้ทำความดีก็เป็นคนดีด้วย  ขอเพียงแต่ให้ความยุติธรรมมีวิธีการคิดต่อท่านผู้ทำความดีเหล่านั้นอย่างผู้ที่คิดเป็น  ไม่ต้องใช้การศึกษาในมหาวิทยาลัยสูงใดๆ  และขอเพียงแต่อย่ามองข้ามความดี  อย่าเหยียบย่ำความดีของโลกนี้  โลกนี้จะได้ชะลอการก้าวสู่กลียุคช้าลงกว่านี้

 

มาถึงบรรทัดนี้แล้วก็..ยังเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะดี หรือไม่หัวเราะจึงจะดี และก็ยังคงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเรื่องเศร้า จึงยังไม่ตั้งคำถามที่สามว่าหรือจะร้องไห้ดี   แต่คำถามอีกคำถามที่มีคือ อีกนานแค่ไหนหลังจากจบบันทึกบทนี้แล้วจึงจะหมดยุค คนดี-บ้า  คนบ้า-บ้า นะ

 

เพชรเหล็กไหล(นามแฝง)

หมายเลขบันทึก: 245593เขียนเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2009 23:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 05:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นในใจของเรา โดยเริ่มจากตัวเราต้องมีความเมตตา เป็นผู้ให้ก่อนค่ะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

...อีกนานแค่ไหนหลังจากจบบันทึกบทนี้แล้วจึงจะหมดยุค “คนดี-บ้า คนบ้า-บ้า”...

ผมคิดว่า ...

ปัจจุบันเรากำลังอยู่ท่ามกลางการขับเคี่ยวกันระหว่างคุณค่า 2 กระแสครับ

กระแสหนึ่งนิยมในคุณค่าทางวัตถุ

อีกกระแสหนึ่งนิยมในคุณค่าทางจิตใจ

"คนจิตใจดี" จึงอาจไม่ใช่ "คนดี" ในโลกแห่งวัตถุและเงินตรา

ตรงข้ามอาจกลายเป็น "คนบ้า" ไปเลยก็ได้

ผมคิดว่าป่วยการที่จะไปตัดสินว่าใครดี ใครบ้า มันขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในโลกแบบไหน และเอาอะไรมาตัดสิน

สิ่งที่สำคัญกว่า คือน่าจะมาทบทวนดูว่า เรามี "ความสุขที่แท้จริง" หรือยัง

ถ้าคำตอบคือ "ยัง" ก็อาจจะต้องกลับมาทบทวน "คุณค่า" ที่เรายึดถือใหม่ ว่าอะไรจึงจะนำไปสู่ "สุขแท้"

เห็นด้วยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ

เห็นด้วยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท