บทความชิ้นนี้เป็นเพียงมุมมองที่คับแคบของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาอ้างอิงถึงบุคคลใดหรือองค์กรใดๆทั้งสิ้น
สังคมที่ประกอบด้วยคนที่มาจากหลายที่หลายทาง หลายพ่อพันแม่ มีความแตกต่างกันมากมายอยู่ จริงๆหากเราจะมองเพียงภายนอก หรือ มองในเชิง outlook เราก้อสามารถจำแนกได้ว่า คนนี้เปน นัก เรียน แม่บ้าน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ฯลฯ แต่หากมองที่ความเป็นเนื้อแท้ของบุคคลใดๆแล้ว เราจะเห็นได้ชัดเจนมามีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ความแตกต่างนั้นๆมาจากไหน ไม่มีใครทราบและเราก็ไม่รู้ว่า ใครหรอที่เป็นผู้กำหนดบทกฎหลักนั้นๆมา คนเราเกิดมา มีสิ่งที่ติดตัวติดใจเรามาเสมอนั่นคือ ความมีตัวตน หรือ การที่เราถือว่า นี่คือ ตัวเรา ตัวเรา เป็นแบบนี้ นี่คือ ของของเรา ประมาณ นี้
เมื่อเราเติบใหญ่ขึ้น การเป็นสัตว์สังคมที่ต้อง มี พวกพ้องน้องพี่ ก็ต้องมี เพื่อนของเรา พวกของเรา น้องของเรา พี่ของเรา เยอะแยะมากมาย คนเข้าไปเรียนหนังสือ ที่ใดๆ ก็จามีการตั้งกลุ่ม ตั้ง ก๊วนว่า นี้ เป็น แก๊ง ของเรา มากๆ เข้า ก็ ไปเข้า แก๊ง คนนั้น แก๊ง คนนี้ เปน ก๊วน หลายๆ ก๊วน ก็ มีคำว่า นกสองหัว (หรือหลายหัว ก็ไม่ทราบ ) เกิดมาในสังคม เข้า ทำงาน ก้อมีการ แบ่ง เป็น จบจาก มหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยายนี้ จบ คณะนั้น คณะ นี้ ในเชิง นิตินัย ไม่มีการแบ่งแยก ก็จริงอยู่ แต่ ในทาง พฤตินัย หรือ การปฏิบัติ มันมีการ แยก กัน อย่างชัด เจน
แต่สุดท้ายก้อยังเกิดความเหลื่อมล้ำในระดับหนึ่งเช่นกัน การแก้ปัญหาคงเป็นไปได้ยาก จริงๆเราน่าจาลองใช้หลักการทำงานเชิงพุทธมาใช้ เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งความก้าวหน้าและจิตใจอย่างยั่งยืน
โลกจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตก้อรื่นรมย์
หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตก้อมีแต่วุ่นวายระทุกระทม
(ว.วชิรเมธี มหัศจรรย์แห่งชีวิต )
ไม่มีความเห็น