หมอบ้านนอกไปนอก(81): ล่องลุ่มน้ำไรน์


การเดินทางท่องเที่ยวมีหลายรูปแบบแล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล เยอรมนี เป็นอีกดินแดนหนึ่งที่น่าไปยล ทุกเมืองมีเขตปลอดยานยนต์ สำนักงานท่องเที่ยวอยู่ใกล้สถานีรถไฟ เมืองเก่าได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี และทุกเมืองมีสวนพฤกษชาติไว้พักผ่อน

ล้มตัวลงนอนหวังเก็บแรงไว้พรุ่งนี้ แม้ตาอยากหลับแต่ใจไม่ยอม ครุ่นคิดถึงการเดินทางวันพรุ่งนี้ ส่วนเด็กๆหลับปุ๋ยไปนานแล้ว ผมอาจจะตื่นเต้นระคนปีติที่จะได้พาภรรยาและลูกๆไปเที่ยว และไม่กังวลนักเพราะพี่ตู่หรือลุงตู่ของเด็กๆร่วมทางไปด้วย ช่วยกำหนดและศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวไว้ให้แล้ว หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้สะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นในเช้าวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2551 ผมกับภรรยารีบลุกเตรียมตัวและค่อยๆปลุกลูกๆมาอาบน้ำแต่งตัวทีละคน ทั้ง 5 คนมีเป้สะพายหลัง 3 ใบใส่เสื้อผ้าของตัวเองและใส่เสบียงไว้ทานตอนเดินทาง พี่ตู่ปั่นจักรยานไปก่อนไปรอที่สถานีรถไฟ

เราทั้งห้าคนขึ้นรถรางตอน 05:21 นาฬิกา เป็นเที่ยวแรกของสถานีที่ใกล้บ้านที่สุด อากาศไม่หนาวมาก ออกไปทางเย็นสบาย เวลา 05:54 นั่งรถไฟต่อไปที่สถานีรถไฟบรัสเซลส์ แล้วขึ้นรถไฟระหว่างเมืองสายด่วน (ICE: Intercity Express) ขบวนที่ 11 ตู้ที่ 34 ที่วิ่งได้เร็วถึง 247 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 07:07 น. ที่แม้มีตั๋วแต่ต้องจ่ายค่าจองที่อีกคนละ 4 ยูโร ถ้าไม่จองหากที่นั่งเต็มก็จะต้องยืน และบางขบวนที่กำหนดให้จองที่นั่ง (Reserved) ถ้าเราไม่จองออาจต้องโดนไล่ลงจากรถหรือถูกปรับได้ เราจะรู้ได้ว่าต้องจองหรือไม่จากดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตหรือจากเอกสารที่ได้จากการซื้อตั๋วอินเตอเรล สภาพภายในรถไฟดูดีมาก สะอาดเป็นที่นั่งแบบคู่ ติดแอร์เย็นสบาย มีตารางที่บอกระยะทาง เวลา สถานีที่ต้องจอดแจกให้อ่านทุกที่นั่ง รถไฟขบวนนี้จะวิ่งจากบรัสเซลส์ ไป 100 กิโลเมตร ถึงเมืองลิเอจ (Liege) ต่อไปอีก 48 กิโลเมตรถึงเมืองอาคเคน (Achen) ของเยอรมันต่อไปอีก 70 กิโลเมตรถึงเมืองเคินหรือโคโลญน์ (Koln) ไปเรื่อยๆอีก 25 กิโลเมตรถึงเมืองบอนน์ (Bonn) ที่เคยเป็นเมืองหลวงของเยอรมันตะวันตกและวิ่งผ่านโคเบลนซ์ (Koblenz) ไมนซ์ (Mainz) ไปสิ้นสายที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt)แต่เราไม่ได้นั่งไปสุดสายเพราะต้องแวะลงเที่ยวเป็นระยะๆ

นั่งรถไฟยามเช้า แสงแดดอ่อนๆ ท้องฟ้าสดใส เด็กๆยังง่วงจึงหลับกันไปทั้ง 3 คน แคนแยกไปนั่งกับลุงตู่ ขลุ่ยนั่งกับแม่ ส่วนขิมจองนั่งกับพ่อแต่ก็อยู่ในบริเวณใกล้กัน  ทิวทัศน์สองข้างทางไปเมืองลิเอจเป็นป่าไม้สลับกับทุ่งหญ้าเขียว คราวก่อนนั่งรถบัสมาจำเส้นทางไม่ได้เลย ไม่สนใจด้วยว่ามาทางไหนไปทางไหนเพราะมีคนพามาและดูแล แต่คราวนี้มากันเองจึงต้องศึกษาเส้นทางให้รู้ว่าต้องไปทางไหน จะได้ไปถูก ไม่หลงทาง คงคล้ายๆกับนกที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงแล้วมีคนคอยให้อาหารตลอดเวลาไม่ต้องขวนขวายอะไรก็อยู่รอด แต่พอถูกปล่อยไปอยู่ในป่าต้องดิ้นรนหาเอาเอง จึงจะอยู่รอดได้

ผ่านเข้าเขตเมืองอาคเคน เมืองแรกที่เข้าเขตแดนเยอรมัน คนนั่งรถไฟถ้าไม่รู้จักเมืองก็จะดูไม่ออกว่าได้ผ่านจากประเทศหนึ่งเข้าไปอีกประเทศหนึ่งแล้ว นั่งรถไฟเที่ยวนี้สบายใจไม่ต้องกลัวถูกตรวจวีซ่าเพราะภรรยาและลูกๆได้บัตรประชาชนชั่วคราวแล้ว อาคเคนมีประวัติเกี่ยวพันกับการเกิดประเทศเยอรมนี เป็นที่ประทับของจักรพรรดิชาร์ลมาญ มีมหาวิหารที่ประดิษฐานมงกุฐของชาร์ลมาญ เราทำได้แค่ชมทิวทัศน์ของเมือง ไม่ได้แวะลงเที่ยวชมในเมือง จุดที่เราผ่านนี้อยู่ในรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน เป็นดินแดนภาคตะวันตกของเยอรมนี เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของประเทศทั้งด้านพื้นที่และประชากร มีแม่น้ำไรน์ไหลผ่านกลางเขตไรน์ลันด์ลงสู่ทะเลเหนือที่เนเธอร์แลนด์ แม่น้ำไรน์เกิดจากธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ในสวิส ไหลผ่านเยอรมนี 850 กม. (จากความยาวทั้งหมด 1,320 กม.) เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญสายหนึ่งของยุโรปที่สามารถล่องเรือโดยสารขนาดใหญ่จากเมืองบาเซิล สวิส ผ่านเยอรมนีจนถึงเมืองรอทเตอร์ดัมในเนเธอร์แลนด์ ลุ่มน้ำไรน์เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน แต่ละเมืองได้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคโรมัน

รถไฟพาเราไปเรื่อยๆจนไปถึงสถานีโคโลญน์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ที่เป็นทั้งศูนย์กลางการค้า อุตสาหกรรม และศิลปะ เมืองนี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือกำแพงเมือง หอคอยโรมันและหลุมฝังพระศพจักรพรรดิโรมัน ที่บ่งบอกว่าเคยเป็นเมืองของชาวโรมัน

เราทั้งหกคนลงรถไฟแล้วเดินเที่ยวในเมือง จุดแรกคือชมมหาวิหารศิลปะโกธิคริมฝั่งแม่น้ำไรน์ เป็นมหาวิหารแฝดที่มีขนาดใหญ่ เข้าไปข้างในมหาวิหารได้สักพัก น้องขลุ่ยขออกมาเดินข้างนอกกับพ่อ ส่วนพี่ตู่ เอ้ แคนและขิมเดินชมความงามในมหาวิหาร เดินชมย่านเมืองเก่า ที่พบว่าเมืองในยุโรปที่ผมได้ไปเที่ยวชมมาทั้งหมดจะมีย่านเมืองเก่าให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชม ซึ่งผิดกับเมืองไทยที่ไม่มีการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่าที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองกันเลย พี่ตู่พาเราไปที่ร้าน 4711 ซึ่งเป็นร้านขายน้ำหอมมีชื่อเก่าแก่ของเมือง มีน้ำหอมให้ดมพิสูจน์ความหอม มีมุมเล็กๆที่จัดไว้ได้งดงามเป็นน้ำตกเล็กๆที่ใช้น้ำหอมผสมลงไปในน้ำให้ชม สัมผัสและดมเพิ่มความสดชื่น น้ำหอมที่วางขายมีการทำบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย สำหรับซื้อไปใช้เองและเป็นของฝากของที่ระลึกก็ได้ ผม พี่ตู่และเอ้ก็ได้ซื้อน้ำหอมมาจำนวนหนึ่งเช่นกัน เห็นแล้วก็อดซื้อไม่ได้

ประวัติของน้ำหอมที่ร้านนี้มีการบันทึกบอกต่อกันไว้อย่างไม่ตกหล่น ร้านนี้อยู่ที่ถนน Glocken Gasse 4711 ที่ในปี ค.ศ. 1792 มีพระคาร์ธูเซี่ยน ได้มอบของขวัญแต่งงานให้กับคู่บ่าวสาวคือนายและนางMuelhens โดยของขวัญนั้นคือสูตรลับในการทำน้ำหอม “Aqua mirabilis” ต่อมาได้กลายมาเป็นน้ำหอมโคโลญจ์ (Eau de Cologne) ต่อมาWilhelm Muelhens ได้จัดตั้งโรงงานน้ำหอมขึ้นในบริเวณที่ตั้งร้านปัจจุบันนี้ ในปี ค.ศ. 1796 ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเมืองโคโลญจ์ นายพลDaurier ได้สั่งให้อาคารทุกแห่งมีหมายเลขกำกับ ร้านนี้ได้เลขที่ 4711 และหมายเลขนี้ได้ถูกนำไปจดทะเบียนการค้าของบริษัทตั้งแต่ปี ค.ศ. 1875 มีภาพปักขนาดใหญ่เต็มผนังห้องขนาด 4.5 x 3.5 เมตร โชว์ขณะที่ทหารฝรั่งเศสกำลังเขียนเลข 4711 บนอาคาร ภาพนี้ใช้ผู้หญิง 12 คน ใช้เวลา 18 เดือนในการทำ ภาพเกิดจาก 4.6 ล้านสติชช์ มีถึง 300 สี ที่แตกต่างกัน จัดทำในปี ค.ศ. 1964 จากวันเริ่มต้นมาถึงปัจจุบันสูตรลับของน้ำหอมนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม 20 กว่าปี สูตรยังคงเป็นความลับและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด น้ำหอมเอดิโคโลญจ์ที่ใช้กับผิวหนัง ถูกขายเป็นน้ำมหัศจรรย์ (Magical water)

เดินกลับมาสถานีรถไฟนั่งต่อไปที่เมืองบอนน์ แม้จะไม่ได้เป็นเมืองหลวงของประเทศแล้วหลังการรวมประเทศแต่ก็ยังคงเป็นที่ตั้งขอที่ทำการรัฐบาลเยอรมันในปัจจุบัน ถือเป็นเมืองมหาวิทยาลัยเก่าแก่และเป็นบ้านเกิดของคีตกวีคนสำคัญคือบีโธเฟน (Ludwig van Beethoven) เดินเที่ยวชมเมืองบอนน์ พี่ตู่ได้จัดเส้นทางเที่ยวให้เราได้ชมความงาม ทิวทัศน์ของเมืองโดยนั่งรถไฟทวนกระแสน้ำเพื่อไปลงที่สถานีเมืองโคเบลนซ์แล้วค่อยลงเรือเที่ยวชมสองฝั่งน้ำในการไหลตามกระแสน้ำที่จะใช้เวลาไม่น้อยกว่าการลงเรือทวนกระแสน้ำ รถไฟพาเราลัดเลาะไปตามหุบแม่น้ำไรน์ ที่เป็นส่วนของรัฐไรน์ลันด์-ฟัลซ์ ดินแดนลุ่มน้ำไรน์ตอนกลางจากเมืองไมนซ์ถึงโคเบลนซ์ ชมทิวทัศน์ริมน้ำ ปราสาทเล็กๆบนเนินเขา บ้านเรือนเรียงรายเป็นหย่อมๆสลับกับไร่องุ่นเขียวไสวบนเนินเขา เด็กๆยังคงสนุก สนใจอยู่กับทิวทัศน์สองข้างทาง และยั่วเย้ากันเล่นเป็นครั้งคราว

รถไฟพาเราไปถึงเมืองโคเบลนซ์ เมืองเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ที่มีป้อมเอเรนไบรสไตน์ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของลำน้ำไรน์ ออกจากสถานีรถไฟ Koblenz hbf (hbf มาจากคำว่า haupbahnhof ออกเสียงฮัฟบานฮอฟหรือMain station คือสถานีรถไฟหลักนั่งเอง) ขอเอกสารแผนที่ท่องเที่ยวที่หน้าสถานีฟรี เดินผ่านย่านตัวเมืองเก่าไปเรื่อยๆ เมืองเก่าได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี จนถึงริมฝั่งน้ำไรน์ มีถนนปลอดยานยนต์เลียบแม่น้ำไรน์ทั้งสองฝั่งตั้งแต่โคเบลนซ์ไปถึงเมืองบิงเงน มีชาวเยอรมันและนักท่องเที่ยวขี่จักรยานชมความงามของลำน้ำมาเป็นกลุ่มๆ เรานั่งชมทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำ พักขาที่ออกอาการเมื่อยล้า เด็กๆเริ่มแสดงอาการไม่อยากเดินแล้ว นั่งมองเรือขนาดใหญ่ที่แล่นผ่านไปมาทั้งเรือสินค้าและเรือโดยสาร แม้เขาจะมีความเจริญด้านเทคโนโลยีมากมายแต่ก็ไม่ทิ้งการขนส่งทางน้ำ ทั้งหกคนเลือกนั่งบริเวณสนามหญ้าริมน้ำทานอาหารกลางวันที่เตรียมมากันอย่างเอร็ดอร่อย ข้าวเหนียว ไก่ทอด ฝีมือเอ้ เป็นอาหารที่แสนโอชาของเรายิ่งกว่าแซนด์วิชหมูแฮมของฝรั่งเป็นไหนๆ

โคเบลนซ์มีแม่น้ำ 2 สายมารวมกันคือแม่น้ำไรน์ (Rhein) สายใหญ่และลำน้ำโมเซล (Mosel) สายเล็ก แล้วนั่งรถไฟต่อไปลงที่เมืองเล็กๆชื่อบิงเกน (Bingen) เดินออกไปจนถึงท่าเรือเคดี (KD: Koln-Dusseldorfer) มีเรือนำเที่ยวที่ใช้กลจักรไอน้ำชื่อเรือโกเธ่ (Paddle-wheel steamship GOETHE) จากท่าเรือ เราจ่ายเงินคนละ 16.9 ยูโร ลงเรือครูสเซอร์ ลำใหญ่ ล่องเรือไปตามเส้นทางวัฒนธรรมมรดกโลก ชมทิวทัศน์สองฟากฝั่งน้ำที่เป็นภูเขา สังเกตลำน้ำจะมีเขื่อนหินเตี้ยๆด้านใดด้านหนึ่งที่ตลิ่งต้องถูกแรงน้ำพัดเข้าปะทะเป็นระยะๆ ช่วยชะลอความเร็วของกระแสน้ำ ทำให้ล่องเรือทวนน้ำได้ง่ายขึ้น ไม่เปลี่ยนสภาพท้องน้ำ มีปริมาณน้ำสูงพอที่จะเดินเรือได้ทั้งปี เราซื้อตั๋วไปลงกลางๆเส้นทางเพราะต้องประหยัดเวลา ล่องตั้งแต่ 16:15-17:55 น. จากเมืองบิงเงน ผ่านนีเดอฮีมเบดที่มีปราสาทเบิร์ก สตาเลค ให้ชม ผ่านKaub ที่มีปราสาทเล็กๆอยู่กลางลำน้ำ แดดยังคงแผดจ้าไม่ลดราความร้อนลง แต่ก็ได้ลมเย็นที่พัดผ่านประสานกับร่มเงาจากหลังคาเรือให้หลบร้อน เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองฝั่งน้ำได้

เส้นทางบริเวณนี้ได้ชื่อว่าเป็นเขตโรแมนติกที่สุด เรือล่องผ่านทิวทัศน์หน้าผาสูงชัน ไร่องุ่นบนลาดเขา หมู่บ้านและเมืองเล็กๆที่ยังคงได้รับการดูแลอย่างดี มีปราสาทเล็กๆให้ชมเป็นระยะๆเรียงรายอยู่บนฝั่งน้ำ พี่ตู่กับน้องแคนไปยืนรับลมตรงบริเวณหัวเรือเก็บภาพถ่ายเป็นระยะ ขิมขลุ่ยนั่งกับพ่อแม่แล้วก็หลับไปพักใหญ่ ผมเองก็เคลิ้มงีบหลับไปแบบไม่รู้ตัวเมื่อผิวกายได้รับการอุ้มชูจากสายลมเย็นๆแอบอิงอยู่ข้างๆภรรยาที่เข้าใจว่าก็งีบหลับเช่นกัน

ล่องเรือผ่านไป 6 สถานีจนถึงท่าเรือเมืองเซนต์กัวร์ (St. Goar) ผมถ่ายรูปให้เอ้กับน้องแคนบริเวณริมฝั่งน้ำตรงท่าเรือ เมฆเป็นปุยงาม น้ำออกสีฟ้าใส แดดจ้าท้าสายลมเย็น เดินเที่ยวเมืองเล็กๆแห่งนี้ ไปตามถนนที่ปูด้วยหินสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก เมืองเก่าก็ยังคงรักษาความเป็นเมืองเก่าไว้ได้ภายใต้ความสะดวกสบายแบบสมัยใหม่ แดดที่ร้อนทำให้เหนื่อยล้าง่าย ต้องนั่งพักเหนื่อยทอดกายกันสบายๆ เด็กๆขอทานไอศกรีมแบบกรวย ผม เอ้กับลุงตู่ก็ร่วมทานด้วย ก็อากาศร้อนแบบนี้ได้ไอศกรีมที่เย็นๆช่วยให้สดชื่นได้เยอะ รวมทั้งโค๊กก็ช่วยได้อย่างมากเช่นกัน เมื่อแรงขากลับมา ความอ่อนล้าเจือจางไปบ้างแล้ว เราก็เดินต่อไปจนถึงสถานีรถไฟของเมืองที่มีขนาดเล็ก ผู้คนไม่พลุกพล่าน มีเฉพาะพวกเราหกคนนั่งรอรถไฟอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง

นั่งรถไฟกลับไปทางเมืองไมนซ์ (Mainz) นครหลวงเก่าแก่กว่า 2,000 ปีของรัฐไรน์ลันด์-ฟัลซ์ ชื่อเดิมสมัยโรมันคือMagontiacum มีการค้นพบหลักฐานยืนยันความเป็นมาทางประวัติศาสตร์เป็นระยะๆ เช่นการค้นพบเรือรบโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึง 11 ลำ เมืองนี้มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือมหาวิหารยุคกลาง โบสถ์ ศิลปะบารอคและพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ด้วยความไม่เอื้อเรื่องเวลาของรถไฟ เราจึงไม่ได้ออกไปเดินเที่ยวชมเมือง เพียงแต่แวะทักมายเมืองนี้ที่สถานีรถไฟเท่านั้นเพราะต้องต่อรถไฟไปพักที่เมืองมานน์ไฮม์ (Mannheim)  นักท่องเที่ยวกระเป๋าเบาแต่โลภมากสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องอดใจ อีกอย่างดูท่าทางเด็กๆก็ไม่ตื่นเต้นที่จะเดินเที่ยวกันแล้ว ก็คงจะเหนื่อยล้าจริงๆ การกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวและเวลาเที่ยวกับสถานที่เที่ยวแบบประสิทธิภาพสูงแบบนี้ พี่ตู่กับผมถนัดมาก คราวก่อนที่เกรซเคยมาเที่ยวกับเราตอนไปเวนิสก็ยังเดินไม่ไหว เกลนด้าก็ยังบ่น แล้วเจ้าลูกทั้งสามจะให้เดินเหมือนผู้ใหญ่คงยาก

ต่อรถไฟไปที่เมืองมานน์ไฮม์ (Mannheim) รถไฟล่าช้ากว่ากำหนด 25 นาที ท้องเริ่มหิว ขาล้า ความรู้สึกเริ่มเหนื่อยอ่อน พี่ตู่กับเอ้ไปซื้อข้าวผัดจากร้านเอเชียที่สถานีรถไฟมาทานกัน แล้วนั่งรถไฟจนถึงสถานีหลักของมานน์ไฮน์ สะพายเป้เดินออกจากสถานีรถไฟเดินตามแผนที่ที่ปริ๊นท์มาจากเว็บโรงแรม ถนนสายหลักของเมืองกว้างใหญ่ เราข้ามถนนเมื่อมีสัญญาณไฟแดง เดินไปเรื่อยๆจนถึงหอน้ำ (Water Tower) ที่ประดับประดาไฟงดงาม อ่านแผนที่ที่ริมถนน เดินจนเจอที่พักที่โรแรมลุกซ่า (Luxa hotel) ที่จองผ่านทางอินเตอร์เน็ต คิดราคาเตียงละ 24 ยูโร เราจองแค่ 4 เตียง (6 คน) ห้องดูดีพอๆกับโรงแรม 3 ดาวบ้านเรา มีเตียงใหญ่ 2 เตียง และเตียงเล็ก 2 เตียง แยกกันคนละห้อง แยกห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ มีผ้าขนหนูบริการและน้ำดื่มอีก 2 ขวด ห้องกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน อยู่ห่างสถานีรถไฟหลักประมาณ 800 เมตร

พี่ตู่กับน้องแคนออกไปเดินเที่ยวเมืองและชมหอน้ำยามค่ำคืนกันต่อ ผม เอ้กับขิมขลุ่ย อาบน้ำพักผ่อนเพราะเดินไม่ไหวแล้ว เก็บแรงไว้เดินเที่ยวพรุ่งนี้ดีกว่า ภายในหนึ่งวันเราเที่ยวผ่านเข้ามาสู่รัฐที่ 3 ของเยอรมันแล้วคือรัฐบาเดน-เวือร์เทมแบร์ก สักพักพี่ตู่กับแคนก็กลับ ก็คงเหนื่อยล้าเหมือนกัน ใกล้จะหลับก็สะดุ้งกับเสียงดังของรถราและพลุที่จุดฉลองชัยชนะฟุตบอลยูโรของชาวเยอรมัน กว่าจะหลับได้ก็นานเหมือนกัน

พิเชฐ  บัญญัติ(Phichet Banyati)

บ้านพักโรงพยาบาลบ้านตาก อ.บ้านตาก จ.ตาก

เขียนจากบันทึกลายมือประจำวันของวันที่ 21 มิถุนายน 2551

21 กุมภาพันธ์ 2552

หมายเลขบันทึก: 243806เขียนเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2009 08:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะคุณหมอแวะมาเยี่ยมค่ะ

สวัสดีครับคุณberger0123

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันครับ ผมไม่ได้ไปดูหนังเรื่องความสุขของกระทิ แต่ภรรยาและลูกๆไปดูมาแล้ว ส่วนผมอ่านหนังสือความสุขของกระทิทั้งสองตอนแล้ว ให้ความรู้สึกดีๆซึ้งๆมากเลยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท