10 ข้อเท็จจริงของผู้สูงอายุโดยองค์การอนามัยโลก
(10 facts on ageing and the life course)
(www.who.ini.en,28 September 2007)
ผู้สูงอายุตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก [WHO] กำหนดไว้ คือ ผู้ที่มีอายุมากกกว่าหรือเท่ากับ 60 ปี เป็นวัยที่มีการเสื่อมถอยในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ในการดูแลจึงต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์โดยแท้จริง
การมีชีวิตที่ยืนยาวคือสัญญาณของสุขภาพที่ดี ในพัฒนาประเทศนี่คือตัวบ่งชี้ของพัฒนาด้านสุขภาพของรัฐ ปัจจุบันประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นมีประมาณ 650 ล้านคน ประมาณการว่าในปี 2050 จะมีถึง 2 พันล้านคน
แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวในศตวรรษที่ 21 นำมาสู่การเตรียมพร้อมในเรื่องผู้ให้คำแนะนำ และสังคมเพื่อให้เข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุ จำเป็นต้องฝึกอบรมบุคลากรเพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุ การป้องกันโรค และการบริหารจัดการโรคเรื้อรัง การสร้างนโยบายการดูแลผู้สูงอายุที่ยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาระบบที่อำนวยความสะดวกต่างๆ
ข้อเท็จจริงที่ 1
ความสูงอายุเป็นปรากฏการที่มีทั่วโลก และผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประมาณการณ์ว่าปี ค.ศ. 2050 ผู้สูงอายุกว่า 80% จะอาศัยอยู่อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ผู้สูงอายุในชนบทก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน พบว่าในปี ค.ศ. 2007 ผู้สูงอายุมากว่าครึ่งอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ และในปี ค.ศ. 2030 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 60%
ข้อเท็จจริงที่ 2
ในศตวรรษที่ 21 นี้ในทั้งการพัฒนา และพัฒนาประเทศ พบว่าผู้สูงอายุในสังคมยุคใหม่จะใส่ใจในเรื่องสุขภาพทั่วโลก ซึ่งในปี ค.ศ.2005 ในญี่ปุ่น และฝรั่งเศส อายุเฉลี่ยประชากรมากกว่า 80 ปี และเพิ่มขึ้นในประเทศที่พัฒนา เช่น ซิลิในอเมริกาใต้, คอสตาริกา, จาเมกา, เลบานอน, ศรีลังกา หรือประเทศไทยอายุเฉลี่ยประชากร 70 ปี
ข้อเท็จจริงที่ 3
มีความแตกต่างกันอย่างมากของอายุเฉลี่ยประชากร เช่น ญี่ปุ่นมีอายุเฉลี่ยประชากรสูงที่สุดในโลก 82.2 ปี ในขณะที่หลายประเทศในแอฟริกามีอายุเฉลี่ยประชากรต่ำกว่า 40 ปี
ข้อเท็จจริงที่ 4
แม้กระทั่งภายในประเทศเดียวกันก็มีความแตกต่างของอายุเฉลี่ยประชากรอย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้นว่าในสหรัฐอเมริกา ประชากรกลุ่มที่มีฐานะดีจะมีอายุเฉลี่ยประชากรสูงกว่าประชากรกลุ่มที่มีฐานะไม่ดีถึง 20 ปี
ข้อเท็จจริงที่ 5
ภายในปี ค.ศ.2050 ผู้ที่เสียชีวิตกว่า 80% จะเป็นประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แต่ด้านงบประมาณในการดูแลเรื่องดังกล่าวจะน้อย ความมีอายุที่ยืนยาวขึ้นของประชากรจะต้องประกอบด้วยนโยบายในการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสมและมีกองทุนประกันสุขภาพผู้สูงอายุอีกด้วย
ข้อเท็จจริงที่ 6
ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีต้องได้รับการใส่ใจจากครอบครัว ชุมชน และระบบเศรษฐกิจ การลงทุนในสุขภาพต้องเกิดขึ้นทุกๆภาคส่วนในสังคม เป็นการยากลำบากที่จะใช้เพียงการประชาสัมพันธ์เพื่อปรับเปลี่ยนความประพฤติของบุคคล เป็นต้นว่า ความเสี่ยงจากการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรจะลดลงประมาณ 50% ถ้าหากบุคคลเลิกการสูบบุหรี่ระหว่าง 60 และ 75 ปี เป็นต้น
ข้อเท็จจริงที่ 7
การใช้ศูนย์สุขภาพชุมชนในการประชาสัมพันธ์ในการดูแลสุขภาพอย่างได้ผลในการป้องกันโรค และบริหารจัดการโรคเรื้อรังในคนไข้ที่มีและที่รักษาไม่ต่อเนื่อง โดยทั่วไปต้องฝึกอบรมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำ การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีอาการเล็กน้อย ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้มีการดูแลผู้ให้คำปรึกษาโดยการจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับประเด็นผู้สูงอายุโดยตลอด
ข้อเท็จจริงที่ 8
ผลกระทบอย่างรุนแรงจากสาธารณภัยและอุบัติเหตุต่อผู้สูงอายุ เช่น ในปี ค.ศ.2004 การเกิดคลื่นยักษ์ tsunami เป็นสาเหตุการตายของผู้สูงอายุจำนวนมากในอินโดนีเซีย และ ในปี ค.ศ.2003 ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์คลื่นความร้อนในยุโรปคือผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
ดังนั้นจึงควรมีนโยบายที่จะปกป้องผู้สูงอายุระหว่างที่เกิดภาวะฉุกเฉินอย่างถูกต้องและเร่งด่วน
ข้อเท็จจริงที่ 9
ความเสี่ยงจากการหกล้มในผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และ เกิดผลเสียจากการบาดเจ็บดังกล่าวมากมาย และทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น เช่น ในออสเตรเลียค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุที่บาดเจ็บจากการหกล้มในกลุ่มอายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไปในปี ค.ศ.2001 ถึง 2002 ประมาณ 3,611 เหรียญสหรัฐต่อคน
ข้อเท็จจริงที่ 10
ผู้สูงอายุที่ถูกทารุณกรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้นในขณะที่สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง องค์การอนามัยโลกประมาณการไว้ว่าผู้สูงอายุในโลกประมาณ 4% ถึง 6% ได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกทารุณกรรม ไม่ได้รับการดูแล ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ เศรษฐกิจ หรือจากการไม่สนใจ ซึ่งการทารุณกรรมผู้สูงอายุเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน