1. ที่มาของคำว่าสาย


มะเร็งเต้านม1

เริ่มต้นไม่ถูกไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี?

            

    ยังอยู่ในช่วงอึ้งๆ และกำลังลำดับเหตุการอยู่ มันไม่ใช่บันทึกทางการแพทย์หรอกแต่คงเป็นบันทึกทางการเข้าใจของตัวเองมากกว่า บันทึกไว้เพื่อจะได้ลำดับเหตุการณ์ได้ว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง คิดอะไรได้บ้าง รู้อะไรบ้าง ทำแล้วได้ผลแค่ใหน

    มีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองผิดที่ไม่สามารถบอกให้คนอื่นฟังเราได้ถ้าวันนั้นเค้าฟังเราบ้าง สนใจคำพูดเราบ้างมันก็คงไม่สายไปถ้าวันนั้นวันที่น้าสาวบอกเราว่าเหมือนมีเอ็นขยุกตรงด้านข้างเต้านม แต่เป็นก้อนเล็กๆ คล้ายเส้นเอ็นน่าจะมาจากมือที่ประสพอุบัติเหตุณ์ตอนอายุยังน้อย อาจจะส่งผลตอนอายุ 50 แน่ๆ เราก็บอกไปว่า เข้ากรุงเทพฯไม๊ เดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาลพระมงกุฏ ไปตรวจดู โรงพยาบาลเดียวกับที่เราเคยพาน้าสะใภ้ ไปตรวจก้อนเนื้อในเต้านม ซึ่งตอนหลังแกก็ไปผ่าออก น้าสาวเราเองแกกลับมองข้ามคำพูดคำนี้ แกกลับคิดว่าผลที่มาจากอุบัติเหตุณ์ตอนเด็กของแก แกก็ไม่ยอมไปหาหมอกลัวหมอผ่า จนมาวันนี้มันไม่สามารถย้อนกลับไปหาวันนั้นได้แล้ว ระยะเวลา 2 ปีกว่าๆ น้าสาวเราเป็น " มะเร็งเต้านมระยะ 3 " (รู้หลังจากต้องกลับไปกล่อม and บังคับให้เข้ารับการรักษา)

    มีความรู้สึกโกรธที่เราเคยบอกแล้ว แต่คนอื่นไม่ฟังเราบ้างเลยและยังทำเฉยมองเป็นเรื่องเล็กน้อย (เอ๊ะ ! บ่นคนเดียวหรือเปล่านี่) มาวันนี้มันเรียกว่าสายไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือเราต้องจะต้องเชื่อมั่นในการรักษาก่อน ว่าถ้ารับการรักษาเร็วโอกาสหายยิ่งมีมาก แม้จะอยู่ในระยะที่เริ่มแย่แล้วก็ตาม

   เบื้องต้นของคำว่าเกือบสายคือ

    1. น้าสาวกลัวการเข้ารักษาแผนปัจจุบัน (กลัวถูกผ่า,  กลัวเจ็บ, กลัวๆๆๆๆๆๆๆ)

         อาจจะมาจากว่า ตัวเองไม่มีสามี ไม่ีมีลูก ทำให้เกิดความอาย, ห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาล,

         ห่วงเรื่องขบวนการรักษา, ห่วงเรื่องคนดูแลพาไปหาหมอ, ห่วงเรื่องคนเฝ้าใข้เวลาต้องรักษา,

         ห่วงเรื่องความเจ็บปวดที่จะได้รับในขณะรักษา

    2. ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ใช่มะเร็งและทำให้ีคนรอบข้างเชื่อว่าไม่ใช่มะเร็ง

         เค้าจะปฏิเสธเสมอว่าไม่ใช่หรอกมันไม่เหมือนมะเร็ง มันเป็นก้อนเล็กๆ ไม่เจ็บไม่ปวดไม่เป็นไร

    3. เชื่อหมอไสยศาสตร์ (ตามประสาชาวบ้านต่างจังหวัด)

       ซึ่งถ้าให้คิดแล้วเราก็ผิดที่ไม่บังคับเค้าแต่แรกให้ไปหาหมอทั้งๆ ที่เราเองก็กลัวๆ อยู่แล้วแต่ก็ยังวางใจ

       ถามเมื่อใหร่เค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร กินยาอยู่ หมอ(ไสยศาสตร์)บอกว่าเดี๋ยวก็หาย คนเดินไม่ได้ยังเดิน

       ได้เลยนับประสาอะไรกับโรคแค่นี้ (พูดแล้วก็โกรธตัวเองไม่น่าปล่อยไว้เลย)

    4. ไม่มีความรู้ (ทำให้กลัวการรักษา)

        ไม่เคยรู้เรื่องการรักษามะเร็งมาก่อน มีแต่คำพูดของชาวบ้านและทีวี ที่ได้ยินมาตลอดว่า " จะต้อง

        ตายถ้าเป็นมะเร็ง"  หรือ " ถ้าไม่มีเงินเป็นแสนเป็นล้านจะต้องตาย " เป็นขนาดนี้แล้วจะรักษาไปให้

        เปลืองเงินทำไม ไม่มีเงินรักษาหรอก ปล่อยดูไปก่อนมันคงไม่ตายทันทีหรอก (เฮ้อ !)

        (เสียดายเราก็ต้องทำงานอยู่กรุงเทพฯ ทำให้ตอนนี้ต้องคิดถึงเรื่องย้ายไปหาำงานทำที่บ้ายแล้วซิ

         จะได้ดูแลคนแก่ด้วยแต่ถ้าออกตอนนี้เงินที่ใช้ในการดูแลรักษากันละอย่างน้อยเรายังช่วยได้ตอนนี้

         แต่ถ้าออกต่างจังหวัดไม่ใช่หางานง่ายๆ เลย)

                                    

                                         เศร้าใจ....

                         ขอพักทำใจก่อนนะ เดี๋ยวมาพูดกันต่อ

หมายเลขบันทึก: 237755เขียนเมื่อ 26 มกราคม 2009 16:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:12 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

มาอ่านค่ะ

เดี๋ยวว่างมาใหม่

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท