ประชุม กรอ.หวานหยด "มาร์ค" รับปากทุกข้อเสนอเอกชน เล็งลดภาษีนิติบุคคลในระยะกลาง-ยาว กองทุน5 หมื่นล้านอีก 2 สัปดาห์ชัดเจน "สศค." เอาใจรัฐเต็มสูบ แนะให้กู้ฟื้นเศรษฐกิจ คาดปี 53 หนี้ต่อจีดีพี 42%อ้างประเทศต่าง ๆ มีหนี้ 60% ญี่ปุ่น 120% ยังไม่มีอะไร "นายกฯ" ว้ากนักวิชาการ ไม่มีทางเข้าไอเอ็มเอฟแน่ เตรียมกดปุ่มแจก 600 บาท ให้ อสม. 20 มีนาคมนี้
เมื่อวันที่ 21 มกราคม ได้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2552 โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยภายหลังการประชุมได้กล่าวว่า ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งมีหลายข้อเสนอที่ได้ทำไปแล้ว ส่วนข้อเสนอเพิ่มเติมเรื่องภาษีและการท่องเที่ยว ก็จะหาช่องทางกระตุ้นเพิ่มมากขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าไปดูว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน "มีการพูดกันมากคือเรื่องแรงงานในโครงการป้องกันไม่ให้เกิดการเลิกจ้าง กับการอบรมให้ตรงจุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำงานคู่ขนานกันต่อเนื่อง และความห่วงใยเรื่องแรงงานสัมพันธ์"
นายกฯ ยังได้ตอบโต้นักวิชาการที่วิจารณ์นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจพาชาติกลับเข้าสู่ยุคไอเอ็มเอฟรอบ 2 ว่า ไม่มี ดูอย่างละเอียดรอบคอบอยู่แล้ว การนำเงินคืนสู่กระเป๋าไม่ได้ใช้ทุนสำรองที่มีอยู่ ส่วนข่าวที่บอกว่ารัฐบาลเป็นหนี้สาธารณะนั้นไม่เป็นความจริง ตัวเลขที่ออกมาได้คิดก่อนที่จะกำหนดจำนวนเงินของงบกลางปี บวกกับโครงการการแทรกแซง อย่างเรื่องพืชผลทางการเกษตรก็ได้ดูตัวเลขก่อนแล้ว เนื่องจากต้องไม่ทำให้เกิดความเสี่ยง ฉะนั้นเรื่องเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟจะไม่เป็นปัญหาแน่นอน
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีมติแจกข้าวสารบรรจุถุงให้ผู้ประกันตนว่ายังไม่ได้สอบถามผู้เกี่ยวข้องเข้าใจว่ามีคณะกรรมการที่จะพิจารณา แต่จะสอบถามรายละเอียดอีกครั้งว่าเอาเงินมาจากไหน ดำเนินการอย่างไรนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุม กรอ. ว่า นายกฯ เห็นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จึงเห็นชอบให้ประชุม กรอ.เป็นประจำทุก 2-3 สัปดาห์ต่อเดือน ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องเร่งด่วนหลายเรื่อง อาทิ 1.การสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและความโปร่งใส ซึ่งให้ภาคเอกชนรับไปประมวลประเด็นปัญหา และนำเสนอต่อ กรอ.ต่อไป 2.มาตรการเสริมสร้างสภาพคล่องได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณา ทั้งเรื่องการเร่งรัดการคืนภาษี และกองทุนดอกเบี้ยผ่อนปรน (ซอฟต์โลน)ที่เอกชนเสนอให้ตั้งกองทุน 5 หมื่นล้านบาท โดยไม่เกิน 2 สัปดาห์น่าจะชัดเจน 3.มาตรการแก้ไขปัญหาการว่างงาน ระยะสั้นได้มอบให้กระทรวงแรงงาน ส่วนระยะปานกลางและระยะยาวได้มอบหมายให้เอกชนหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน และเสนอ กรอ.ต่อไปส่วนข้อเสนอการเพิ่มค่าหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา กระทรวงการคลังจะรับไปพิจารณา และนายกฯ ยังได้รับปากว่าจะพิจารณาเรื่องลดภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่เป็นมาตรการระยะกลางและยาว โดยมอบให้กระทรวงการคลังเช่นกันนายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุมยังรับหลักการให้พิจารณาสลับหรือเลื่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ให้เป็นวันหยุดต่อเนื่องกับวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณารายละเอียด นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการพัฒนาโลจิสติกส์ ซึ่งนายกฯ จะเป็นประธาน 2.คณะกรรมการ กรอ.ระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยให้กระทรวง มหาดไทยหารือกับภาคเอกชน เพื่อกำหนดโครงสร้างและรูปแบบการทำงานร่วมกัน 3.คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) และ 4.คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาเทิร์นซีบอร์ด) นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า เอกชนพอใจว่ารัฐบาลออกมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็ว โดยข้อเสนอ กรอ.ครั้งนี้ 80% ของข้อเสนอทั้งหมดเป็นมาตรการที่ ครม.มีมติเห็นชอบไปแล้ว รอเพียงกระบวนการบังคับใช้นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนที่เอกชนต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ 1.การสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นรูปธรรม 2.การสร้างสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจเพิ่มเติม เพราะมาตรการภาษีที่อนุมัติไปแล้วยังไม่เพียงพอ และ 3.มาตรการดูแลการเลิกจ้าง ที่ต้องการให้มีการตั้งศูนย์เบ็ดเสร็จในระดับจังหวัดเพื่อดูแลแก้ปัญหาแรงงานนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอเอกชนทั้งหมด โดยการลดภาษีนิติบุคคลนั้น นายกฯ ระบุว่าเป็นนโยบายรัฐบาลอยู่แล้ว แต่จะเป็นระยะกลางและยาว ส่วนการสร้างความเชื่อมั่นก็จะจัดโรดโชว์ในต่างประเทศนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ผลการหารือใน กรอ.ถือว่าน่าพึงพอใจ เนื่องจากรับข้อเสนอเอกชนทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างภาษีนิติบุคคลสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้วิเคราะห์ถึงมาตรการของรัฐบาลว่า จะช่วยส่งผลให้เศรษฐกิจไทยซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2552 นี้ สามารถขยายตัวได้มากกว่ากรณีฐานที่คาดไว้ที่ 1% ต่อปี เพราะมาตรการจะช่วยกระตุ้นการบริโภค และมีการลงทุนภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ก็มีผลกระทบต่อฐานะการคลังในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค โฆษก สศค. กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือหนึ่งในการระดมเม็ดเงินคือการกู้เงินจากต่างประเทศซึ่งปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่สัดส่วน 36% โดยมติ ครม.เคยกำหนดเพดานไว้ที่สัดส่วน 50% โดยหากรวมทุกมาตรการที่รัฐบาลออกมา คาดว่าในปี 2553 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ในสัดส่วน 42% "สัดส่วนนี้สาธารณะต่อจีดีพีสามารถสูงขึ้นได้ถึง 60% ต่อจีดีพี ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกใช้กัน นอกจากนี้ไทยก็เคยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่สูงถึง 60% มาแล้ว" นายเอกนิติกล่าวเขาระบุว่า เพดานหนี้สาธารณะที่ 50% เป็นเพียงมติ ครม.สมัยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เมื่อวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งหนี้สาธารณะบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ก็สูงถึง 120% ต่อจีดีพี ญี่ปุ่นก็ไม่เจอวิกฤติ ซึ่งมติ ครม.สามารถยืดหยุ่นได้มากกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณ ที่กำหนดสัดส่วนของการขาดดุลงบประมาณไว้ที่ไม่เกิน 20% ซึ่งถือเป็นเรื่องของวินัยทางการเงินนายเอกนิติกล่าวต่อว่า ปัจจุบันจำเป็นต้องกู้เงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เพราะเศรษฐกิจเหมือนเครื่องบินที่กำลังจะโหม่งโลก แล้วจะปล่อยให้เป็นหรือ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสกู้หนี้เพื่อนำหนี้นั้นมากระตุ้นเศรษฐกิจ แม้หนี้จะสูงขึ้นจริง แต่ถ้าสามารถทำให้จีดีพีสูงขึ้นตาม ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน สุดท้ายก็จะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีลดลงได้ในที่สุดโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ในระยะถัดไปจะเริ่มเห็นมาตรการกึ่งการคลัง คือบทบาทของสถาบันการเงินของรัฐในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และภายในปีนี้ยังจะมีมาตรการระยะกลางและยาวมาอย่างต่อเนื่องนายเอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดี NIDA Business School กล่าวว่า มาตรการของรัฐบาลจะผลักดันจีดีพีเติบโตอย่างมากที่สุด 2.28% ไม่ถึง 2.5-3% เพราะมาตรการภาษีเห็นผลน้อยกว่ามาตรกระตุ้นการบริโภคส่วนมาตรการถัดไปที่รัฐต้องนำมาใช้คือการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ แต่ควรเป็นการลงทุนในลักษณะซอยย่อยโครงการเพื่อลดเม็ดเงินด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวเช่นกันว่า มาตรการต่าง ๆ จะผลักดันให้จีพีดีมีการเติบโตเพียง 0.6% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการ หรือประมาณ 0-2% แต่หากรัฐบาลไม่กระตุ้นให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนเพิ่ม ก็จะทำให้ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตไปทาง 0% มีเพิ่มขึ้น และประเมินว่ารัฐบาลต้องใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 4-5 แสนล้านบาท เพื่อผลักดันจีดีพีให้เติบโตถึง 2.5-3%ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังปาฐกถาที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ เรื่อง "ประเทศไทยกับการพัฒนาตามกระแสโลกาภิวัตน์" ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรอบ 2 ดีกว่ารอบแรก เพราะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น และส่งผลดีไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ยากที่จะบอกว่ามาตรการที่รัฐบาลนำออกมาใช้นั้นเพียงพอหรือไม่ ซึ่งก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย "รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการปัญหาการจ้างงานมากกว่านี้ เพราะเชื่อว่าจะมีผลกระทบมาก ซึ่งการจัดสรรงบแค่ 7,100 ล้านบาท จากงบประมาณกลางปีกว่า 115,000 ล้านบาทนั้นคงไม่พอ น่าจะได้รับการจัดสรรถึง 50% ของงบกลางปีทั้งหมด "ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว และว่า ส่วนการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินนั้น น่าจะเน้นไปที่ประชาชนมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพราะภาวะการส่งออกลดลง ไม่จำเป็นต้องปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการมากนักวันเดียวกันที่โรงแรมมิราเคิล นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นประธานเปิดการประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมทั้งแกนนำอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ทั่วประเทศ 300 คน เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับ อสม.นายวิทยาได้กล่าวว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณ 3,000 ล้านบาท ในปี 2552 เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงินเดือน และเป็นขวัญกำลังใจ ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ จำนวนกว่า 830,000 คนทั่วประเทศ โดยให้คนละ 600 บาทต่อเดือน โดยงบประมาณดังกล่าวจะจ่ายให้เดือน เม.ย.-ก.ย.2552 และหลังจากนั้นรัฐบาลจะจัดหางบก้อนใหม่มาให้เป็นค่าตอบแทนในปีต่อไปนายวิทยากล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 19-21 มี.ค.นี้ กระทรวงจะจัดงานครบรอบ 90 ปี ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และในวันที่ 20 มี.ค. ยังเป็นวัน อสม.แห่งชาติ และเป็นวันครบรอบ 30 ปีของ อสม. ซึ่งได้เชิญนายอภิสิทธิ์มาเป็นประธานเปิดงาน และทำการกดปุ่มเริ่มจ่ายค่าตอบแทนให้กับ อสม.ทั่วประเทศด้าน นายไพทูรย์ บุญอารักษ์ ประธานชมรม อสม. กล่าวว่า จากการพูดคุยกับแกนนำ อสม.ทั่วประเทศไม่อยากให้โอนเงินผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เนื่องจากขั้นตอนการเบิกจ่ายยุ่งยาก จึงขอเสนอให้โอนเงินผ่านสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) แต่ขอเรียนว่า แม้ไม่มีค่าตอบแทน อสม.ทุกคนก็ทำงานอยู่แล้ว แต่เมื่อมีเงินมาให้ก็อยากให้ไปถึงมือผู้ปฏิบัติงานจริง โดยคนที่ทำงานเท่านั้นสมควรที่จะได้รับเงิน ต่อไปใครที่เข้าไปทำงานในหมู่บ้านต่างๆ คงจะต้องให้ชาวบ้านเซ็นชื่อกำกับว่าได้ปฏิบัติงานจริง ๆ เพื่อเป็นหลักฐานในการรับเงิน
ไทยโพสต์ 22 มกราคม 2552
ไม่มีความเห็น