วันนี้เรามีขั้นตอนการพัฒนาความคิดแบบง่ายๆ เพื่อนำไปพัฒนาการสอนในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนของเรากลายเป็นคนที่คิดเป็น รู้จักใช้ความคิดมากขึ้น ไม่ใช่นั่งเรียนแบบท่องจำไปวันๆ ลองไปดูกันนะคะว่า มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?
1. คิดกำหนดปัญหาให้ชัดเจน
การกำหนดปัญหาให้ชัดเจนเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้กระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหาในลำดับต่อมาเป็นไปอย่างถูกทิศทาง เป็นการกำหนดเป้าหมายของการคิดที่ชัดเจน หลายคนเรียกขั้นตอนนี้ว่า การคิดถูกทาง
ไอน์สไตน์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างเห็นสอดคล้องกันมานานแล้วว่า การมองเห็นปัญหาสำคัญกว่าการแก้ปัญหา ในห้องเรียนของเรามีปัญหาอยู่ตั้งเยอะ ลองให้นักเรียนระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนดูเถอะ
2. คิดหาคำตอบที่หลากหลาย
เมื่อกำหนดประเด็นปัญหาชัดเจนแล้ว ให้นักเรียนคิดหาคำตอบ หรือแนวทางของคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มาหลายๆ คำตอบ หรือหลายๆ แนวทาง
ขั้นตอนนี้ต้องพยายามให้คิดหาคำตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยไม่สกัดกั้นความคิด ไม่ว่าจะคิดว่าคำตอบที่นักเรียนตอบนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าท่า ไม่รีบชิงบอกนักเรียนว่าเป็นคำตอบที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ยกเว้นคำตอบที่เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่สอดคล้องกับประเด็นปัญหานั้นๆ
ในการฝึกความคิดของนักเรียน ครูอาจจะเริ่มต้นให้นักเรียนคิดในขั้นตอนที่ 2 นี้เลยก็ได้ โดยครูกำหนดการแก้ปัญหาแล้วให้นักเรียนคิดหาคำตอบที่หลากหลาย คำถามที่ครูเตรียมมา ควรเป็นคำถามที่น่าความสนใจ เป็นคำถามที่ท้าทาย หรือคำถามที่แปลก ชนิดคาดไม่ถึง ให้นักเรียนได้ฝึกความคิดแบบหลากหลาย เช่น ถามว่ารถยนต์กับช้อน มีอะไรที่เหมือนกันบ้าง
นักเรียนคงจะงง เพราะรถยนต์กับช้อนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่เมื่อเริ่มต้นคิด ก็พบว่าทั้ง 2 สิ่งมีส่วนที่เหมือนกัน เช่น ทำด้วยโลหะเหมือนกัน เคาะแล้วมีเสียงเหมือนกัน ฯลฯ
หรือคำถามให้นักเรียนคิดคาดการณ์ภายหลังว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ถ้าโลกขาดก๊าซออกซิเจนจะเป็นอย่างไร นักเรียนก็ควรฝึกใช้ความคิดอย่างอิสระ เพื่อคาดคะเนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลก ซึ่งจะถูกหรือไม่ ยังไม่ควรรีบด่วนสรุป แต่จะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดหาคำตอบให้ได้มากที่สุด
กระบวนการฝึกในขั้นที่ 2 นี้ เป็นการฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง
ในคำตอบมากมายหลายนั้นอาจจะมีบางคำตอบใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่นำเป็นความคิดริเริ่ม แปลกใหม่
3. คิดพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ และสมเหตุสมผล
เพื่อดูว่าในหลายๆ คำตอบจากขั้นตอนที่ 2 นั้น คำตอบใดน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คำตอบใดน่าจะตัดทิ้งไปได้
การคิดในขั้นนี้ จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เดิม หรือความรู้เดิม หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุด เพื่อประกอบการพิจารณาอย่างสมเหตุสมผล
ข้อมูลที่ได้มา จะต้องเป็นข้อมูลที่ทั้งกว้าง ทั้งลึก มีความชัดเจน ถูกต้อง เชื่อถือได้ และเพียงพอที่จะใช้เป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ
วันนี้เรามีขั้นตอนการพัฒนาความคิดแบบง่ายๆ เพื่อนำไปพัฒนาการสอนในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนของเรากลายเป็นคนที่คิดเป็น รู้จักใช้ความคิดมากขึ้น ไม่ใช่นั่งเรียนแบบท่องจำไปวันๆ ลองไปดูกันนะคะว่า มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ?
1. คิดกำหนดปัญหาให้ชัดเจน
การกำหนดปัญหาให้ชัดเจนเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้กระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหาในลำดับต่อมาเป็นไปอย่างถูกทิศทาง เป็นการกำหนดเป้าหมายของการคิดที่ชัดเจน หลายคนเรียกขั้นตอนนี้ว่า การคิดถูกทาง
ไอน์สไตน์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างเห็นสอดคล้องกันมานานแล้วว่า การมองเห็นปัญหาสำคัญกว่าการแก้ปัญหา ในห้องเรียนของเรามีปัญหาอยู่ตั้งเยอะ ลองให้นักเรียนระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนดูเถอะ
2. คิดหาคำตอบที่หลากหลาย
เมื่อกำหนดประเด็นปัญหาชัดเจนแล้ว ให้นักเรียนคิดหาคำตอบ หรือแนวทางของคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มาหลายๆ คำตอบ หรือหลายๆ แนวทาง
ขั้นตอนนี้ต้องพยายามให้คิดหาคำตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยไม่สกัดกั้นความคิด ไม่ว่าจะคิดว่าคำตอบที่นักเรียนตอบนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าท่า ไม่รีบชิงบอกนักเรียนว่าเป็นคำตอบที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ยกเว้นคำตอบที่เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่สอดคล้องกับประเด็นปัญหานั้นๆ
ในการฝึกความคิดของนักเรียน ครูอาจจะเริ่มต้นให้นักเรียนคิดในขั้นตอนที่ 2 นี้เลยก็ได้ โดยครูกำหนดการแก้ปัญหาแล้วให้นักเรียนคิดหาคำตอบที่หลากหลาย คำถามที่ครูเตรียมมา ควรเป็นคำถามที่น่าความสนใจ เป็นคำถามที่ท้าทาย หรือคำถามที่แปลก ชนิดคาดไม่ถึง ให้นักเรียนได้ฝึกความคิดแบบหลากหลาย เช่น ถามว่ารถยนต์กับช้อน มีอะไรที่เหมือนกันบ้าง
นักเรียนคงจะงง เพราะรถยนต์กับช้อนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่เมื่อเริ่มต้นคิด ก็พบว่าทั้ง 2 สิ่งมีส่วนที่เหมือนกัน เช่น ทำด้วยโลหะเหมือนกัน เคาะแล้วมีเสียงเหมือนกัน ฯลฯ
หรือคำถามให้นักเรียนคิดคาดการณ์ภายหลังว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ถ้าโลกขาดก๊าซออกซิเจนจะเป็นอย่างไร นักเรียนก็ควรฝึกใช้ความคิดอย่างอิสระ เพื่อคาดคะเนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลก ซึ่งจะถูกหรือไม่ ยังไม่ควรรีบด่วนสรุป แต่จะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดหาคำตอบให้ได้มากที่สุด
กระบวนการฝึกในขั้นที่ 2 นี้ เป็นการฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง
ในคำตอบมากมายหลายนั้นอาจจะมีบางคำตอบใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่นำเป็นความคิดริเริ่ม แปลกใหม่
3. คิดพิจารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ และสมเหตุสมผล
เพื่อดูว่าในหลายๆ คำตอบจากขั้นตอนที่ 2 นั้น คำตอบใดน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คำตอบใดน่าจะตัดทิ้งไปได้
การคิดในขั้นนี้ จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เดิม หรือความรู้เดิม หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุด เพื่อประกอบการพิจารณาอย่างสมเหตุสมผล
ข้อมูลที่ได้มา จะต้องเป็นข้อมูลที่ทั้งกว้าง ทั้งลึก มีความชัดเจน ถูกต้อง เชื่อถือได้
|