ประชุมสภามหาวิทยาลัยทีไร ผมได้เรียนรู้จากท่านนายกสภาฯ มากมายทุกครั้ง วันที่ ๒๐ ธ.ค. ๕๑ ในการประชุมสภา มวล. ผมก็ได้เรียนรู้จากท่านนายกสภ ศ. ดร. วิจิตร ศรีสะอ้าน มากมาย โดยเฉพาะเรื่องการประเมิน
มีวาระ “รายงานการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๑” นำเสนอโดยประธานคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ถือว่าเป็นคณะกรรมการที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมายภารกิจ
ผมได้เรียนรู้จากท่านนายกสภาฯ ว่า การประเมินนี้เป็นการประเมินเพื่อให้ทราบว่า ที่สภามหาวิทยาลัย (ในฐานะตัวแทนเจ้าของ) มอบหมายให้มหาวิทยาลัยไปดำเนินการในปีที่ผ่านมานั้น ได้ดำเนินการเกิดผลตามที่มอบหมายหรือไม่ เป็นการประเมินที่มุ่งไปที่ CEO หรืออธิการบดีเป็นหลัก และจะใช้ผลการประเมินนี้ประกอบการพิจารณาความดีความชอบ ของอธิการบดี ผมขอเรียกว่า เป็นการประเมินของ “เจ้าของ”
ในการประชุมเดียวกัน ยังนำเสนอเอกสารรายงานการประเมินอีก ๒ ชุด คือ รายงานประจำปีเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา มวล. ปีการศึกษา ๒๕๕๐ (๑ มิ.ย. ๒๕๕๐ – ๓๑ พ.ค. ๒๕๕๑) จัดทำโดยส่วนส่งเสริมวิชาการ มวล. (ต.ค. ๒๕๕๑) กับ รายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับสถาบันและระดับสำนักวิชา ปีการศึกษา ๒๕๕๐ (๑ มิ.ย. ๒๕๕๐ – ๓๑ พ.ค. ๒๕๕๑) จัดทำโดยคณะกรรมการประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน
ผมเกิดคำถามมากมายจากการเข้าประชุม และอ่านเอกสารทั้ง ๓ ชุดนี้
๑. “เจ้าของ” ควรได้รับรายงานเฉพาะผลการดำเนินการของมหาวิทยาลัยฯ ตามแผนที่กำหนดไว้ หรือควรจะได้รับรู้สภาพของ “ระบบ” อุดมศึกษาทั้งหมด และรู้ว่ามหาวิทยาลัยของตนอยู่ตรงไหนใน “ระบบนิเวศ” อุดมศึกษาไทย มหาวิทยาลัยของตนควรพัฒนาจุดแข็งตรงไหน เพื่อจะ “อยู่ได้ อยู่ดี” ในระบบนิเวศนี้ คำถามนี้ นำไปสู่คำถามที่ ๒
๒. กรรมการสภาฯ ในฐานะตัวแทนเจ้าของ ควรมีความรู้เกี่ยวกับระบบใหญ่ของอุดมศึกษาอย่างไรบ้าง เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ “แทนเจ้าของ” ได้อย่างแท้จริงในการกำหนดภารกิจที่เป็นจุดเน้นของมหาวิทยาลัยของตน
๓. ผลการประเมินที่นำมาเสนอในวันนี้มี ๓ ประเมิน ยังมีอีก ๓ ประเมิน ที่มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐจะต้องมีการประเมิน คือ ของ กพร., ของ สมศ., และของ สตง. ผมมีคำถามว่ามีส่วนของการประเมินที่ซ้ำซ้อนไม่ จำเป็นตรงไหนบ้าง มีทางไหมที่หน่วยงานทำรับผิดชอบการประเมิน ได้แก่ สกอ., สมศ., กพร., สตง. จะประชุมปรึกษาหารือเพื่อบูรณาการการประเมินหลายประเมินเข้าด้วยกัน หรือทำให้เกิด synergy กัน ลดภาระและเพิ่มคุณประโยชน์ของการประเมิน สิ่งที่ผมกังวลคือ มี “การประเมินเพื่อประเมิน” อยู่มากแค่ไหน เราอยากได้ “การประเมินเพื่อพัฒนา” ทั้งเพื่อพัฒนาสถาบัน และพัฒนาระบบ (อุดมศึกษา, การจัดการ)
๔. มหาวิทยาลัยที่มีระบบประเมินภายในเข้มแข็ง และผลประกอบการดีมาก น่าจะได้รับการพิจารณาจัดกลุ่มพิเศษที่ไม่ต้องมีการประเมิน สมศ. ลงลึก เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและแรงงานในการประเมินและเตรียมการรับการประเมิน คิดอย่างนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
๕. “ประเมินเท่าที่จำเป็น” และประเมินเข้มข้นต่างกันตามประวัติผลงานของแต่ละสถาบัน คิดอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
๖. การประเมินแบบไหน ที่มีผลต่อการพัฒนากิจกรรมหลักของสถาบันมาก ควรปรับปรุงให้มีผลมากขึ้น ได้อย่างไร
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ธ.ค. ๕๑
คำถามที่น่าสนใจ..
"มีทางบ้างไหมที่หน่วยงานปฏิบัติ ซึ่งรับผิดชอบด้านการประเมิน ได้แก่ สกอ., สมศ., กพร., สตง. จะประชุมปรึกษาหารือเพื่อบูรณาการการประเมินหลายประเมินเข้าด้วยกัน หรือทำให้เกิด synergy (สนธิพลัง) เข้าด้วยกัน"
มีทางเป็นไปได้ แต่ต้องปรับ/เปลี่ยนวิธีคิด-->ปรับ/เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานของคนไทย ซึ่งต่างคน(ต่างหน่วยงาน) ต่างทำ..ให้มีการประสานพลังแนวราบกันให้มากขึ้น