ชักจะติดใจ KM เสียแล้ว...
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นที่ทำงานรับผิดชอบในพื้นที่ คิดเหมือนผมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มีครูนง (ครูนงเมืองคอน) และครูแต้ว (ครูแต้วเมืองคอน) ซึ่งได้ร่วมกระบวนการด้วยกันมาตลอดคิดเหมือนผมแน่ๆ
การจัดการความรู้เมืองนครทั้งจังหวัด ซึ่ง กศน. รับผิดชอบเป็นแม่งานรับช่วงต่อจากปกครอง ซึ่งจัดทำแผนชุมชนนั้นทำให้เรารู้งานของ กศน. กว้างขึ้นจากแผนชุมชนและจากกระบวนการเวที ทำให้เราทราบความต้องการรู้ว่าตำบลใหนต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องอะไร และที่สำคัญคือชาวบ้านได้เรียนรู้และช่วยเหลือตัวเองเพื่อรองรับการหนุนเสริมจากหน่วยงานทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น และการทำงานก็มีทีมซึ่งมาจากหน่วยงานต่าง ๆ มารับรู้สภาพปัญหาของชุมชนเหมือนกันและสามารถบูรณาการการทำงานที่จะแก้ไขปัญหาของชุมชนร่วมกัน
การใช้กระบวนการให้ชุมชนจัดการความรู้ที่ตนเองมีบวกกับทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนและผู้รู้ภูมิปัญญาทำให้การจัดกิจกรรมของ กศน. ประหยัดงบประมาณเพราะบางเรื่องชุมชนมีศักยภาพในการจัดการตนเองได้หลังจากผ่านเวทีจัดการความรู้ไปแล้ว นึกถึงการจัดการศึกษาอาชีพที่ใช้รูปแบบการศึกษาโดยใช้โครงงานอาชีพ คือชาวบ้านต้องคิดที่จะทำอะไรตั้งเป้าหมายแล้วเริ่มศึกษาเรียนรู้จากการปฏิบัติ จดบันทึก แล้วมาเล่าประสบการณ์ที่ทำ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำความรู้ที่ได้ไปพัฒนางานใหม่ ช่างสอดรับกับกระบวนการของ KM หรือแม้แต่กระบวนการจัดการเรียนการสอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน กศน. ที่ครูต้องมีการ วางแผนการจัดการเรียนการสอนแบบพบกลุ่มร่วมกับนักศึกษา และนักศึกษาต้องกำหนดเนื้อหาของแต่ละหมวดวิชา ว่า สาระไหนเนื้อหาใดที่นักศึกษาสามารถค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตนเอง (กรต.) หรือที่เรียนว่าการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และ การพบกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ที่แต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มได้ศึกษาค้นคว้ามา ทำความเข้าใจร่วมกัน มีครูและเพื่อนๆ ช่วยเพิ่มเติมเสริมความรู้ จากนั้นก็ว่ากันด้วยเรื่องของโครงงาน ทุกกลุ่มต้องนำผลจากการปฏิบัติการทำโครงงานการเรียนรู้ของแต่ละหมวดวิชามาเล่าเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันกับครู เพื่อทราบความก้าวหน้า ปัญหา ร่วมกันหาวิธีแก้ไขแล้วกลับไปดำเนินการต่อ และร่วมกันกำหนดเนื้อหาที่จะกลับไปศึกษาอย่างต่อเนื่องต่อไป
ผมคิดของผมเองว่า กศน. เราทำ KM มาก่อนที่ สคส. ทำเสียอีกตั้งแต่สมัยที่ท่านชาติชาตรี โยสีดา เป็นอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนแต่เราไม่รู้ หรือเป็นเพราะ กศน. เราไม่ใส่ใจในกระบวนการดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะภารกิจกลักของ กศน. ในสมัยนั้นที่เราเรียกกันว่า ดอกบัวสี่กลีบ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนั้น เป็นกิจกรรมที่ กศน. สามารถจัดได้อย่างหลากหลาย การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นเพียง หนึ่งกลีบของภารกิจหลัก แต่อีก 3 ภารกิจหลักเป็นเรื่องที่ต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ชุมชนคือ การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมชุมชน ซึ่งต้องใช้กระบวนการจัดการความรู้หรือ KM เข้ามาเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรม
เมื่อ กรมการศึกษานอกโรงเรียน เปลี่ยนเป็นสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ด้วยแล้ว คำว่าการศึกษาตามอัธยาศัยนั้นมันเป็นทุกเรื่องที่คนหรือชุมชนต้องการเรียนรู้ซึ่งสามารถทราบได้จากกระบวนการทำเวทีชาวบ้านหรือเวทีจัดการความรู้ และที่สำคัญตามยุทธศาสตร์ที่ให้สนับสนุนภาคีเครือข่ายให้ร่วมจัดกิจกรรม กศน. ด้วยแล้วยิ่งง่ายขึ้นด้วยเพราะเรามีทีมภาคีทุกหน่วยงานที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ หนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนอยู่แล้ว เพิ่งมารู้ว่าเป็น KM ที่เนียนในเนื้องาน
ไม่เจอนายหนังนานแล้ว...
เจริญพร
กราบนมัสการ...พี่หลวง
ภารกิจยุ่งๆ ครับเลยไม่ค่อยจะมีเวลาเขียน ก็คิดถึงพี่หลวงเหมือนกัน คุยกับครูนงอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็กราบขอบพระเดชพระคุณพี่หลวงครับ...ที่ยังไม่ลืม
นมัสการมาด้วยความเคารพ