อ่านหัวข้อแล้วบางท่านอาจคิดว่าเครียดไปรึเปล่า แต่บังเอิญว่า ข้าพเจ้าได้คิดถึงเรื่องของการฆ่าตัวตายมาจากเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งซึ่ง เขาเคยพูดว่าเขาอยากจะทำแต่ข้าพเจ้าบอกเขาว่ามันหนักหนาขนาดนั้นเลยหรือ บางครั้งคนเรามักจะไม่เข้าใจในสถานการณ์ของคนอื่นเพราะไม่ได้ตกอยู่ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ก็ได้แต่คิด และ ฟังตามไป ก็เลยมานั่งนึกว่าคงจะมีหลายคนเลยละที่บางช่วงเวลาที่คิดแบบนี้ แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ยังเคยเลย แต่คิดแค่ว่า อยากนอนหลับแล้วไม่ตื่นซัก 3-4 วันมากกว่า พอดีข้าพเจ้าได้เจอหนังสือเล่มหนึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบอ่าน ก็เลยอยากจะเอามาบอกต่อให้กับคนที่อยากรู้และมีความเชื่อในแบบเดียวกันหรือไม่เชื่อแต่อยากรู้
เรื่องธรรมะ ความเชื่อ จิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของคนมีอายุแต่ทุกคนสามารถจะรู้และเข้าใจได้ข้าพเจ้าเลยคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
การฆ่าตัวตายเป็นความผิดต่อกฎทางวิญญาณไม่น้อยไปกว่าที่เป็นความผิดต่อกฎที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างไรก็ตามความผิดนั้นก็ยังอาจมีโทษหนักเบาต่างๆ กันได้ตามกรณี ทั้งในทั้งสองฝ่าย คือทั้งในกฏของมนุษย์และในกฏของโลกทางวิญญาณหรือโลกทิพย์ สำหรับบุคคลที่โชคร้ายผู้ซึ่งไม่มีสติควบคุมตัว(คนเสียสติหรือเป็นบ้า) และไม่รู้ตัวถึงบาปที่เขาได้กระทำลงไปย่อมไม่สามารถจะรับผิดชอบตัวเองได้ ดังนั้น ก็ย่อมไม่สมควร ที่จะรับผิดชอบในความผิดที่ตนได้ กระทำไปแต่อย่าใด ในกรณีที่น่าสงสารเช่นนี้ก็ไม่สมควรจะมีการลงโทษหรือบาป แต่ควรจะมีความเมตตากรุณาและความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น
อันที่จริงทุกคนมีเจตนารมย์อย่างเสรีในการที่จะกระทำสิ่งใดๆ ก็ได้ตามที่เขาปรารถนา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องเลือกทางเดินเอาเอง แต่เมื่อเลือกแล้ว เราก็จำเป็นต้องยอมรับผลที่เราได้เลือกเอาไว้เหมือนกัน(Everyone is give freedom of action to do as he will. It is for him to choose,but in choosing he must also accept the consequences of his choice.) บุคคลอาจจะทำลายร่างกายอันเป็นฝ่ายวัตถุคือการยเนื้อของตนได้ ถ้าเขาต้องการ แต่เนื่องจากเขามีชีวิตที่เป็นอนันตกาล คือ ไม่รู้จักดัญสูญ ดังนั้นวิญญาณของเขาจึงเป็นสิ่งที่เขาจะทำ ลายให้สิ้นไปไม่ได้
ในการที่เขาผ่านเข้าไปสู่โลกภูมิอันเป็นทิพย์ วิญญาณนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดเกิดขึ้นเลย นอกเสียจากว่ากายเนื้ออันไม่สมบูรณ์นั้นก็สูญหายไป เพราะเขาได้ทำลายมันหมดไปแล้ว แต่ว่าเขาจะรู้สึกตัวของเขาเอง ยังจะมี ชีวิตอยู่ ต่อไปโดยมีกายทิพย์เกิดขึ้นมาใหม่ และกายทิพย์นี้ก็เป็นเสมือนรูปจำลองของกายเนื้อนั่นเอง ยกเว้นต่อว่าจะไม่มีความบกพร่องอย่างที่เคยมีแก่กายเนื้อเท่านั้น เช่น คนตาบอด เมื่ออยู่โลกมนษย์ เมื่อตายแล้วก็ย่อมจะเห็นได้ (คือมีตาดีเกิดขึ้นอีก) แต่ว่าลักษณะต่างๆ ประจำตัวอัธยาศัยใจคอต่างๆนั้น จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เพราะว่าหลังจากการตายของกายเนื้อแล้ว วิญญาณก็จะเริ่มต้นพัฒนาจากจุดที่ตนได้หยุดชงักไว้ ปัญหาต่างๆซึ่งผู้ฆ่าตัวตายหวังว่าจะหนีไปพ้นนั้น ก็ยังติดอยู่กับตัวเขาตลอดไป เรื่องนี้เป็นเครื่องแสดงให้เขารู้ว่า ความตายนั้นไม่ได้แก้ปัญหาอย่างไรเลย
โดยการฆ่าตัวตาย บุคคลได้ทำให้ตนเกิดเข้ามาสู่โลกทิพย์ก่อนกำหนด โดยผู้ที่ฆ่าตัวตายนั้นจึงไม่สามารถจะเข้าถึงภูมิแห่งวิญญาณได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะอยู่จนสิ้นอายุขัยในโลกมนุษย์เขาต้องถูกแขวนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในโลกภูมิ เขาจะขาดการติดต่อกับบุคคลที่เขารักในโลกทิพย์เป็นเวลาชั่วคราว แต่ถ้าหากเขาตายตามปกติเขาจึงจะสามารถเข้ามาอยู่ด้วยกับบุคคที่เขารู้จักและเป็นที่รักได้
ดังนั้นเห็นได้ว่า บุคคลที่ฆ่าตัวตายเพื่อจะได้อยู่ร่วมกับคนที่เขารักโดยรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั้นเป็นผู้ที่โง่เขลาอย่างยิ่ง ในทำนองเดียวกันกับการฆ่าตัวตายเพื่อนจะให้พ้นทุกข์ของตนในโลกมนุษย์สิ้นสุดลงไปนั้น ก็เป็นการไร้เหตุผลเช่นเดียวกัน เพราะว่า บุคคลจะสามารถหวังความเจริญในทางจิตได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้ต่อสู่ต้านทานความทุกข์ในโลกนี้ของเขาจนกว่าจะสิ้นหมออายุขัยไปตามปกติของเขาเท่านั้น..
(จากหนังสือเรื่อง การติดต่อกับวิญญาณ โดย เอสเทลล์ โรเบิรต์ ปี พศ.2531 หนังสือชุดจากโลกทิพย์)
ข้าพเจ้ายกเอาบทหนึ่งในหนังสือมาเพื่อให้ได้อ่านเป็นข้อคิดกันว่าเราควรจะอยู่ต่อสู่กับความทุกข์ของเราให้ถึงทีสุดและเอาชนะมันให้ได้ ขอให้ท่านที่มีความทุกข์ มีธรรมะและสติในจิตใจ เพราะให้ภาวะการปัจจุบันมีอะไรให้เราต้องต่อสู่อีก..
(โปรดใช้วิจารญาณเป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่ม)
แวะมาอ่านค่ะ..อย่าเครียดมากนะคะปีใหม่เอาหัวใจแห่งความสุขมาฝากค่ะ
ชื่นชมหนูหริ่ง ที่คิดได้ และมีสิ่งดี ดี มาเล่าสู่กันฟัง
สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนค่ะ
สวัสดีปีใหม่ 2552 นะคะ
ก็เป็นข้อความที่ดีนะเจ้ ยิ่งสำหรับคนที่กำลังคิดแบบนี้เค้าก็อาจจะเปลี่ยนใจเลยล่ะ
ข้อความยาวกำลังดี ไม่ยาวมากเกินไป