เมื่อหลายเดือนก่อนท่านอ.ที่ปรึกษาของพรพ.ได้เดินทางไปเยี่ยมสำรวจที่โรงพยาบาลกะพ้อและท่านได้กรุณาจัดทำบันทึกเรื่องราวในการเข้าเยี่ยมครั้งนี้ มาให้เราพนักงานพรพ.ได้รับทราบถึงการดำเนินงานของโรงพยาบาลภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบด้วย ซึ่งจากการบันทึกเรื่องราวของอาจารย์ในวันนั้นทำให้พวกเราชาวพรพ.ได้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความยากลำบากในการดำเนินการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนโรงพยาบาลที่มีใจรักในการพัฒนาคุณภาพได้ร่วมเป็นกำลังใจให้กับโรงพยาบาลกะพ้อ วันนี้จึงขอหยิบยกเอาบันทึกของอาจารย์ ผ่อนพรรณ ธนา ที่ปรึกษาของพรพ. มาเล่าสู่กันฟัง
หลังจากรถโรงพยาบาลได้วิ่งออกจากตัวเมืองหาดใหญ่ ในจังหวัดสงขลา ทีมที่ปรึกษาซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยในวันนั้นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตลอดเส้นทางที่รถวิ่งผ่านมา เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางที่โรงพยาบาลกะพ้อ จังหวัดปัตตานีนั้นดูเงียบเหงาจัง ระหว่างทางเห็นแต่ความเขียวและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ สวนยาง สวนผลไม้ แต่ไม่มีรถพลุกพล่านเลย ยกเว้นเมื่อรถเข้าสู่เขตปัตตานี ยะลาและ นราธิวาส จะพบว่าคนขับรถด้วยความเร็วสูงถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง สภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ดูปกติ แต่จะพบจุดตรวจเป็นระยะ ๆ ซึ่งรถต้องชลอความเร็ว เราพบบังเกอร์เป็นช่วง ๆ ตั้งอยู่ตลอดทาง มีทหาร ตำรวจ ที่มีอาวุธพร้อม ข้างทางจะพบว่าในบริเวณสถานที่ราชการจะมีรั้วลวดหนามกั้นไว้สูง และเมื่อทีมที่ปรึกษาเดินทางมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าทีมพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลรอรับอยู่บริเวณหน้าอาคาร ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมกับดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่บ่งบอกถึงมิตรไมตรีและความเป็นห่วงเป็นใยที่ให้กัน
โรงพยาบาลกะพ้อ เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กมีจำนวน10 เตียง ลักษณะ อาคารต่าง ๆ ก็เป็นอาคารชั้นเดียว กะทัดรัด ภายในอาณาเขตโรงพยาบาลมีการจัดแต่งสวนได้อย่างสวยงามน่ารักเหมาะกับอาคารด้านหลังของโรงพยาบาล คือภูเขาบูโด
จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ตั้งแต่เดือน มกราคม 2547- จนถึงปัจจุบัน ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่บุคคลากรต่างก็เสียขวัญกำลังใจ อย่างเช่นเหตุการณ์ พบวัตถุที่ใช้สำหรับวางระเบิดที่ป้องยามของโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2547 , เหตุยิงคนสวนของโรงพยาบาลเสียชีวิต เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 , และเหตุการณ์โทรศัพท์ข่มขู่ฆ่าแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลเป็นต้น โดยโรงพยาบาลจึงได้มีการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและนำมาจัดทำแผนเตรียมการ ในการป้องกันเหตุการณ์ร้ายดังนี้ การจัดหาสถานที่ปลอดภัยที่สุดในโรงพยาบาล การสร้างรั้วลวดหนามหลังโรงพยาบาล การสร้างกำแพงปูนรอบโรงพยาบาล การสร้างที่เก็บTANK ออกซิเจนให้มีความปลอดภัย การให้เจ้าหน้าที่ ย้ายมานอนในโรงพยาบาล และให้เจ้าหน้าที่ที่มีบ้านอยู่นอกโรงพยาบาลมาทำงานหลัง 7 โมงเช้า และต้องกลับบ้านก่อน 1 ทุ่ม มีการเตรียมไฟฉุกเฉิน มีถังดับเพลิงในทุกจุดซึ่งจะต้องเก็บเป็นความลับรู้เฉพาะกลุ่มเจ้าหน้าที่เท่านั้นเพื่อป้องกันการขโมยเอาไปทำระเบิด
นอกจากจะวางแนวความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่แล้วโรงพยาบาลยังได้มีการเชื่อมโยงความห่วงใยไปยังผู้ป่วยและชุมชนที่มีปัญหาด้านสุขภาพด้วย โดยการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานในการสร้างชุมชนให้สามารถดูแลตนเองได้ในเบื้องต้น แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำงานนอกพื้นที่โรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย จึงได้ปรับการดำเนินงานในส่วนของการติดตามผู้ป่วยจากเจ้าหน้าที่เปลี่ยนมาเป็น อสม. แทนซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์ให้อมส. เป็นเสมือนแขน ขาของโรงพยาบาล อสม. มาประชุมในโรงพยาบาลทุกๆ เดือนอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามงาน และค้นหาผู้ป่วยในชุมชน ติดตามค้นหาเสียงสะท้อนในชุมชน นอกจากนี่ยังมีการสร้างแรงจูงใจให้กับอสม.ที่เข้าร่วมการดำเนินงานกับโรงพยาบาล เช่น การจัดพาไปศึกษาดูงานด้วย
การปรับเปลี่ยนระบบการทำงานอีกอย่างคือมีการประชุมวิเคราห์สถานการณ์เป็นระยะ ๆ เพื่อปรับระบบงาน (PDCA ชัดเจนมาก) กล่าวคือเมื่อเกิดเหตุการณ์แต่ละครั้งก็นำมาวิเคราะห์หาสาเหตุและปรับปรุงทันทีเช่น การเดินทางโดยขี่มอเตอร์ไซค์ของบุคคลากรที่อยู่อำเภอสายบุรีมาโรงพยาบาลซึ่งไม่ปลอดภัยเพราะเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์มักจะเกิดก่อน 07.00 น.และเกิดกับคนขี่มอเตอร์ไซค์คนเดียวจึงปรับเป็นให้ไปมากันเป็นกลุ่มและเดินทางหลัง 07.00 น. และเดินทางกลับก่อน 18.00น.
ชาวโรงพยาบาลกะพ้อแม้จะอยู่ภายใต้ความกดดันต่าง ๆ เสียขวัญกำลังใจได้มีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างกับชาวบ้านอำเภอกะพ้อ ที่เคยออกกรีดยางตี 2 เป็นกรีดยางตอน กลางวัน แต่จิตใจของชาวโรงพยาบาลกะพ้อยังเต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่า “ คุณภาพ”
นอกจากจะมองว่าเจ้าหน้าที่ต้องปลอดภัยที่สุดก็ยังเผื่อแผ่ที่จะให้ประชาชนที่ต้องรับผิดชอบ ปลอดภัยจากการดูแลผู้ป่วยของทีมสหสาขาวิชาชีพในขณะอยู่โรงพยาบาลโดยมีการนำเอาปัญหา ความเสี่ยง ที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้วมาพูดคุยกันประจำในตอนบ่าย ๆ กรณีที่ผู้ป่วยหรือประชาชนที่ไม่สามารถมาโรงพยาบาล กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องค้นหา เพื่อที่จะให้การดูแลที่เหมาะสม ก็มีการพัฒนา อสม. ให้เป็นแขนขาให้เจ้าหน้าที่ เป็นการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับ และเชิงรุก ( สู่ชุมชน)
เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลที่อาจารย์ผ่องพรรณ ธนาเขียนบันทึกไว้ยังคงมีเรื่องดี ๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าจะทยอยเขียนมาเล่าให้ได้อ่านอีกคราวหน้าแล้ว
ไม่มีความเห็น