คราวที่แล้วได้นำเสนอขั้นตอน การสอนตามรูปแบบของฮันเตอร์ ไปแล้ว คราวนี้จะขอนำเสนอ ให้เห็นชัดเจน เกี่ยวกับรายละเอียดและความสำคัญของกิจกรรมต่างๆ ใน แต่ละขั้นตอนว่า ทำอย่างไร มีผลดีอย่างไร ถ้าพบปัญหา ในขั้นตอนใด ควรแก้ไขอย่างไร
ความรู้ที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ได้มาจากการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ด้วยใจรัก ในรูปแบบการสอนของเมดิลีนฮันเตอร์
ดังนั้น จึงขอขอบพระคุณ ท่านที่ได้ศึกษาข้อมูลไว้ก่อน ทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาส ศึกษาเพิ่มเติม ไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง
ชื่อของขั้นตอน อาจ สลับกันบ้าง หรือมีเพิ่มขึ้นมาบ้าง ไม่ต้องแปลกใจเพราะเคยนำเสนอไว้ในคราวที่แล้วว่าอาจมีความแตกต่างกันตามเหตุผลที่เคยกล่าวไว้แล้ว แต่อยากให้สนใจในรายละเอียด ความสำคัญ ผลดี ต่างๆ ของกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน..มากกว่า..เพื่อประโยชน์ของการนำไปใช้..
การดำเนินการสอนในแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้
(Allen 1998 อ้างถึงใน อินทวรรณ จันทศิริ,2549:74 )
1. กำหนดวัตถุประสงค์ (Objectives) ก่อนเริ่มบทเรียน ผู้สอนต้องทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการสอนว่าคืออะไร เน้นอะไรเป็นพิเศษ นักเรียนต้องเข้าใจเรื่องอะไรบ้าง ต้องเข้าใจเรื่องอะไร
2. กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ (Standards) ผู้สอนต้องรู้ว่าอะไรคือมาตรฐานในการเรียน เช่น ลักษณะของบทเรียนที่จะนำเสนอ พฤติกรรมของผู้เรียนที่ต้องการให้เกิดขึ้นความรู้หรือทักษะอะไรที่ผู้เรียนจะต้องมีบ้าง
3. เตรียมความพร้อมเข้าสู่บทเรียน (Anticipatory Set) เป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่บทเรียน บางครั้งเรียกว่า “ ขั้นตะขอ ” (hook) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนสร้างประสบการณ์การเรียนรู้โดยการชักนำให้นักเรียนมีความพร้อมในการเรียนสามารถจะรับความรู้ที่จะเกิดขึ้นได้
4. การสอน/นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Teaching / Presentation) เป็นการสอนหรือการบรรยายซึ่งประกอบไปด้วย การสอนเนื้อหา การแสดงตัวอย่าง และการตรวจสอบความ เข้าใจ
4.1 การสอนเนื้อหา (Input) ครูผู้สอนต้องเรียงเนื้อหาที่ต้องการให้นักเรียนเรียนรู้หรือทำให้นักเรียนเกิดทักษะ ผ่านทางการจดบันทึก แผ่นฟิล์ม เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพหรือรูปภาพ เป็นต้น
4.2 การแสดงตัวอย่าง (Modeling) เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ใช้ในการ
อธิบายให้นักเรียนเข้าใจในบทเรียน โดยสามารถทำให้นักเรียนมองเห็นตัวอย่างในการทำงานตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดการทำงาน จัดลำดับเหตุการณ์เปรียบเทียบสิ่งที่ปฏิบัติและสามารถนำไปใช้ได้ (ในการพิจารณาปัญหา, เปรียบเทียบ สรุปความ เป็นต้น)
4.3 การตรวจสอบความเข้าใจ (Checking for Understanding) เพื่อพิจารณาว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่ก่อนที่จะดำเนินการสอนในขั้นต่อไป ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนสำคัญ ในการตรวจสอบว่า หลังจากดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ไปแล้ว นักเรียนเข้าใจสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องหรือไม่
ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยหรือไม่สามารถปฏิบัติได้ แสดงว่านักเรียนยังไม่เกิดความคิดรวบยอดหรือทักษะ ดังนั้นผู้สอนจึงต้องทบทวนการสอนใหม่เพื่อให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในบทเรียนก่อนที่จะเริ่มทำการสอนในขั้นต่อไป
ในการตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนนั้น ผู้สอนสามารถใช้คำถามในการตรวจสอบความเข้าใจ การถามคำถามนั้นจำเป็นต้องใช้ทักษะและความชำนาญ การใช้คำถามสามารถทบทวนความเข้าใจของนักเรียน เป็นเครื่องมือเพื่อให้นักเรียนทบทวนความรู้ที่ได้ และเพื่อให้มั่นใจได้ว่านักเรียนได้รับความรู้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด
ตามแนวคิดของ Bloom ได้มีการกำหนดคำถามที่มีลักษณะต่างกันหลายประเภทและทำหน้าที่หลายอย่างไว้ โดยการสร้างและพัฒนาระดับความคิดที่แตกต่างกัน เช่น คำถามบางคำถามบางประเภทต้องการเพียงให้จำหรือพิจารณาก่อนตอบ คำถามที่ดีจะต้องเริ่มจากง่ายสุด ไปสู่คำถามที่ยากที่สุดของระดับความรู้ทางปัญญา
ตามแนวทางการตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนซึ่งประกอบด้วย ความรู้(Knowledge) ความเข้าใจ(Comprehensis) การเอาไปใช้ (Application) การวิเคราะห์(Analysis) การสังเคราะห์(Synthesis) และการประเมินค่า(Evaluation)
นอกจากนี้ หลังจากการถามคำถาม ควรให้เวลากับนักเรียนในการคิดคำตอบด้วย
5. การฝึกปฏิบัติโดยครูแนะนำ (Guided Practice) นักเรียนจะได้ลงมือปฏิบัติหรือทำแบบฝึกหัดภายใต้การแนะนำดูแลของครู ครูจะเดินดูนักเรียนทำงานไปรอบ ๆ ห้องเรียน เพื่อดูนักเรียนและให้การช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาในการปฏิบัติ มีการชมและให้กำลังใจกับนักเรียน
6. การสรุป (Closure) นักเรียนสรุปบทเรียนและการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อแสดงถึงความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ครูได้สอนไปแล้ว โดยมีวิธีการดังนี้คือ
6.1 สรุปสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้หรือปฏิบัติไปแล้วตั้งแต่ต้นจนจบบทเรียน
6.2 ครูให้คำแนะนำและให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักเรียน
6.3 ครูช่วยให้นักเรียนมองเห็นภาพในการทำงานมากขึ้น
เข้าใจมากขึ้น ขจัดความสับสนในบทเรียนออกไป
6.4 เสริมในจุดสำคัญที่ต้องการเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความสัมพันธ์ทางด้านความคิด ลำดับความคิดของปัญหาที่ต้องแก้ไข และทบทวนการปฏิบัติ และสรุปการนำไปใช้เพื่อให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในบทเรียน
7. ฝึกปฏิบัติตามลำพัง (Independent Practice) นักเรียนแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การฝึกปฏิบัติ ตามลำพังจะเป็นช่วงเวลาที่ให้นักเรียนแต่ละคนฝึกฝนตนเอง โดยการปฏิบัติซ้ำในรายการที่กำหนด เพื่อให้นักเรียนสามารถจดจำในสิ่งที่เรียนไปแล้วได้ อาจให้นักเรียน ทำการบ้าน หรือ ทำงานตามลำพังในห้องเรียน
ขั้นตอนนี้ สามารถพัฒนาทักษะและความคิดรวบยอดให้นำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้ หากนักเรียนขาดการฝึกปฏิบัติ อาจทำให้นักเรียนล้มเหลวในการนำความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดแล้วไปใช้ได้
หากท่านผู้ใด มีความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีสอนแบบนี้ กรุณา ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ..เพราะต้องการความรู้เพิ่มให้มาก กว่านี้..ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ...
ขอบคุณค่ะ
จะนำไปประยุกต์ใช้บ้างนะคะ
มีความสุข เสมอๆนะคะ
มีกำลังใจที่เปี่ยมล้น
พี่ส้มขา..เก่งจริงๆพี่สาวเรา
ขอศึกษาด้วยคนนะคะ
รักพี่ส้มจ้า
สวัสดี ค่ะ พี่คิม พี่สาวจอมพลัง
สวัสดีค่ะ @..สายธาร..@
สวัสดีค่ะ ศน.รอยยิ้มพิมพ์ใจ
"รักพี่ส้มจ้า" "รัก ศน.add จ้า.."
ความรัก กระจาย..เต็มblog เชียว..อิอิ..
ใครยังไม่ได้บอกรัก ครูส้ม รีบ บอกซะนะ..เดี๋ยวพื้นที่ของหัวใจจะไม่ว่าง..แล้วจะหาว่าไม่เตือน..อิอิ
สวัสดีค่ะครูส้ม
มาแวะรับกำลังใจดีๆ วันนี้คงสดชื่นค่ะ ได้เจอคนน่ารัก
ขอเป็นกำลังใจให้ครูนะคะ การสอนนี้เป็นอะไรที่เหนื่อยและหนักนะคะ...
แจ่มใสเช่นดอกไม้นะคะ