การออกแบบการเรียนรู้ แบบ Backward Design
ธนสาร บัลลังก์ปัทมา เรียบเรียง .
พิมพ์ครั้งแรก ThecityJournal ฉบับวันที่ 17-31 สิงหาคม 2550
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายกระจายอำนาจให้สถานศึกษา โดยมีการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการกระจายอำนาจไปเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา โดยมีการจัดอบรมครูจากโรงเรียนนำร่อง ๖๐๐ แห่งทั่วประเทศ เข้ารับการอบรมเข้มข้น ๙ วัน ๘ คืน อบรมตั้งแต่ ๐๘.๓๐ – ๒๑.๐๐ น. ตามหน่วยอบรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ครูที่เข้าอบรมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีเรื่องที่อบรมครูจำนวน ๘ เรื่อง คือ หลักสูตรสถานศึกษา, การปฏิรูปการศึกษา การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design, การประกันคุณภาพ, การพัฒนาสมรรถนะ, การพัฒนากระบวนการคิด, การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้, การนิเทศ ติดตามผล และหลักคุณธรรม หลักเศรษฐกิจพอเพียง
หัวข้อการอบรมที่นับว่าใหม่สำหรับครูที่เข้ารับการอบรม คือ การออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design ซึ่งโรงเรียนนานาชาตินิยมใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ มีขั้นตอน 3 ขั้นตอน เริ่มจากครูต้องวางแผนออกแบบการเรียนรู้ วางผังการประเมิน และจัดผังการเรียนรู้เป็นรายวิชา โดยมีแนวทางจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (หรือไม่บูรณาการก็ได้) จุดเด่นคือการนำแนวทางการวัดผลมาเป็นหลักในการออกแบบการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าแบบย้อนกลับ จากปกติที่ครูคุ้นเคยเริ่มการออกแบบการเรียนรู้ จากสาระสำคัญ กิจกรรมการเรียนรู้ แล้วจึงวางแผนการวัดผลประเมินผลส่วน Backward Design คือเริ่มจากการกำหนดกรอบประเด็นการเรียนรู้และการวัดผล จากนั้นจึงกำหนดเนื้อหารายวิชา
ขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design มี ๓ ขั้นตอน ดังนี้
๑. ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ หรือประเด็นการเรียนรู้
๒. จัดทำผังการประเมินหรือวิเคราะห์ร่องรอยผลงานที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน
๓. การออกแบบการเรียนรู้ กำหนดเนื้อหาวิชาและจำนวนชั่วโมง
ในขั้นตอนที่ ๑ ครูต้องช่วยกันคิดออกแบบการเรียนรู้ ดังนี้
๑) หาหัวเรื่องที่จะออกแบบ(Theme)
๒) กำหนดแนวคิด (Concept) ในรูปแผนที่ความคิด (Mind Mapping)
๓) ความรู้ที่คงทน (Enduring Understanding) หรือความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้นเมื่อเรียนจบหน่วยการเรียนรู้
๔) การวิเคราะห์เทียบมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
๕) การวิเคราะห์ความรู้หรือทักษะเฉพาะวิชาในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
๖) ทักษะคร่อมวิชาหรือทักษะร่วม (ทักษะบูรณาการ) เป็นทักษะที่นำมาใช้ร่วมกันได้ทุกกลุ่มสาระ เช่น กระบวนการกลุ่ม การวางแผนการทำงาน กระบวนการวิทยาศาสตร์
๗) วิเคราะห์จิตพิสัย
๘) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของโรงเรียน
ขั้นตอนที่ ๒ การจัดทำผังการประเมิน หรือร่องรอยผลงานของผู้เรียน โดยการวางผังการประเมินความรู้ที่คงทน, คุณลักษณะอันพึงประสงค์และจิตพิสัย, ทักษะคร่อมวิชาหรือทักษะร่วม, ความรู้และทักษะเฉพาะวิชา
วิธีการประเมิน สามารถประเมินได้ ๖ ลักษณะ คือ
๑) การเลือกตอบ (Selected Response) เป็นการเลือกคำตอบที่ถูกต้อง การจับคู่คำตอบ
๒) การเขียนหรือตอบตามเค้าโครง (Constructed Response) เป็นการเขียนคำตอบสั้นลงลงในช่องว่างหรือตารางตามรูปแบบที่กำหนดไว้
๓) การตอบแบบอัตนัย (Essay) การเขียนเรียงความ การเขียนเรื่อง การตอบคำถามพร้อมเหตุผล
๔) การผลิตชิ้นงาน โครงการ (School products/performance) นักเรียนผลิตชิ้นงาน ทำโครงการ โครงงาน การแสดง การปฏิบัติโดยมีกลุ่มเป้าหมายในโรงเรียน ทำงานหรือทำกิจกรรมในโรงเรียน
๕) การผลิตชิ้นงาน โครงการจากภายนอกหรือจากชุมชน (Contexual products/performance) นักเรียนผลิตชิ้นงาน ทำโครงการ โครงงาน การแสดง การปฏิบัติโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคคลภายนอกหรือในชุมชน อยู่ในบริบทชีวิตจริงที่มีความซับซ้อนของสถานการณ์ นักเรียนต้องมีทักษะในการทำงานและการแก้ปัญหา
๖) การประเมินต่อเนื่อง (On-going tools) เป็นการสังเกตพัฒนาการ การประเมินทักษะ การประเมินตนเองของนักเรียน โดยอาจใช้การสังเกต สัมภาษณ์
ขั้นตอนที่ ๓ การออกแบบการเรียนรู้สู่เนื้อหา เป็นการนำผังการประเมินที่กำหนดไว้ มาออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การประเมินผลเป็นตัวหลัก เพื่อวางกิจกรมการเรียนรู้ แล้วกำหนดทรัพยากร สื่อและแหล่งเรียนรู้ จากนั้นจึงกำหนดเวลา ให้จัดทำในรูปแบบตารางผังการออกแบบ ๔ ช่อง มีหลักการพิจารณาเนื้อหา ดังนี้
๑) เรียงเนื้อหาจากง่ายไปสู่เนื้อหาที่ยากขึ้น
๒) เรียงลำดับก่อนหลัง
๓) ตัวอย่างการประเมินจากกิจกรรม โดยพิจารณาว่าก่อนประเมินครูต้องจัดกิจกรรมเรียนรู้ใดร่วมกับผู้เรียน
๔) เกณฑ์การประเมินชิ้นงานตามเกณฑ์คุณภาพ (Rubric) เป็นการกำหนดระดับการประเมินว่างานมีคุณภาพระดับใด
ข้อควรคำนึง คือ ก่อนจะจัดผังการประเมิน ควรคำนึงว่าในโรงเรียนที่ครูแต่ละคนสอนคนละวิชา ครูจะมีโอกาสมาจัดกิจกรรมในช่วงเดียวกันหรือช่วงเวลาใกล้เคียงกันหรือไม่ เพราะหากครูไม่ร่วมแรงกันแล้ว ในที่สุดครูสังคมศึกษาหรือครูภาษาไทยจะกลายเป็นคนที่รับบทหนักในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ เมื่อถึงการประเมินครูจะมีข้อตกลงกันหรือไม่ว่าจะร่วมกันประเมิน โดยไม่เพิ่มภาระงานให้
แนวการออกแบบการเรียนรู้แบบ Backward Design
เรื่องภาษาไทย ภาษาถิ่น
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เวลา 3 ชั่วโมง
จุดประสงค์ มาตรฐาน ๑. เข้าใจความหมายของภาษาถิ่นภาษาไทย มฐ. ๔.๑ ข้อ ๔ ๒. ใช้ภาษาสื่อสารในชีวิตประจำวันถูกต้องเหมาะสม ๓. เปรียบเทียบภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นได้ |
แนวคิด Concept : ภาษาถิ่น กระบวนการ Progress ทักษะความคิดรวบยอด มารยาทการฟัง มารยาทการพูด หลักการ ภาษาถิ่น เป็นวัฒนธรรมพื้นฐาน ค่านิยม เห็นคุณค่าภาษาถิ่น อนุรักษ์ภาษาถิ่น (จากแผนการจัดการเรียนรู้) (จากแผนการจัดการเรียนรู้) |
ความรู้ฝังแน่น (Enduring Understanding) หลักฐานแสดงคามรู้ (ร่องรอย การประเมิน) ภาษาถิ่นเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ใช้สื่อสาร -ตารางภาษา 4 ภาค (แบบฝึก) (1) ภายในท้องถิ่น การทำความเข้าใจภาษาถิ่น -การแต่งประโยคภาษาไทยมาตรฐานและ จะทำให้เข้าใจและสามารถติดต่อสื่อสารกับ ภาษาถิ่น (2) คนภาคอื่นได้ (จากแผนการสอน) -สังเกตเสียงคำแล้วตอบคำถาม -การเขียนเรื่องภาษาถิ่นที่ฉันรู้จัก (4) |
กิจกรรมนำสู่ผล คิด ทำ พูด (Know Do) Quest. (คำถามที่ท้าทาย) -สนทนาเกี่ยวกับภาษาถิ่น คำทักทายภาษาถิ่น -พูดภาษาไทย รู้สึกอย่างไร /สร้างค่านิยมที่ดี -หาอาสาสมัครพูดภาษาถิ่น (ถ้าไม่มี ใช้แถบบันทึกเสียง -พูดภาษาถิ่น รู้สึกอย่างไร /สร้างค่านิยมที่ดี หรือ ครูเขียนคำให้ตัวแทนพูด) -ถ้าไม่มีภาษาถิ่นจะเป็นอย่างไร -นักเรียนเลือกบัตรคำภาษาถิ่น -ถ้าไม่พูดภาษาถิ่นจะเป็นอย่างไร -ทำกิจกรรมภาษาคำพูดภาษาถิ่นจากภาพและ -คนล้อเลียนทำอย่างไร เราจะแสดงออกอย่างไร คำภาษาไทยมาตรฐาน (1) -เราจะทำอย่างไร ให้คนกล้าพูดภาษาถิ่น -แต่งประโยค -ทำแบบฝึกสังเกตเสียงคำแล้วตอบคำถาม -นักเรียนช่วยกันอภิปราย แสดงความคิดเห็น พูดภาษาไทย รู้สึกอย่างไร /สร้างค่านิยมที่ดี พูดภาษาถิ่น รู้สึกอย่างไร /สร้างค่านิยมที่ดี ถ้าไม่มีภาษาถิ่นจะเป็นอย่างไร, คนล้อทำอย่างไร -สรุปลักษณะ และความสำคัญของภาษาถิ่น |
บรรยากาศ Climate สื่อและอุปกรณ์ -เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูด ไม่ใช้คำพูดดุผู้เรียน(BBL) -เพลงภาษาถิ่นที่นิยม เช่น ไว้ใจได้กา, อุ๊ยคำ ฯลฯ -สร้างบรรยากาศเหมือนโรงละครแสดงบทบาทสมมติ -บัตรคำ แบบฝึก หนังสือเรียน |
การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ Backward Design (2) BwD
ไปที่ >>>>> http://gotoknow.org/blog/cityedu/224435
ยินดี แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องนี้ที่ http://gotoknow.org/blog/skuikratoke