บทที่สามของบันทึกการท่องเที่ยวเชิงวิพากษ์ ตอนนี้จะมีเรื่องราวอันใดมา “จ่ม”อีกหนอ โปรดติดตามครับ
ยามเช้าที่อุดมไซหมอกลงจัดอากาศเย็นจัด ตื่นมาแล้วมัวแต่ต้มกาแฟดูข่าวในห้องจนลืมไปเดินตลาดเช้า เสียดายที่พลาดโอกาสไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองไซ แต่ก็ยังพอมีเวลาไปเดินดูแม่ค้าขายผักขายอ้อยที่สี่แยกหน้าโรงแรม มีแม่ค้านำเหล้ากลั่นเองบรรจุในแกลลอนใบโตมาวางขายหลายเจ้า ไม่ทันได้ชิมพอดีรถตุ๊กๆผ่านมาเสียก่อน เลยรีบเรียกให้ไปส่งที่คิวรถ
ที่สถานีขนส่งยามเช้าผู้คนพลุกพล่านจอแจมากกว่าเมื่อตอนเย็น มีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกหลายกลุ่ม จัดการซื้อตั๋วไปหลวงน้ำทาในราคา ๓๕ พันกีบ หาซื้อข้าวหลามกับซาลาเปาไว้กันหิวแล้วขึ้นไปนั่งรอบนรถ มินิบัสที่วิ่งระหว่างอุดมไซกับหลวงน้ำทาสภาพใหม่กว่าคันที่ขึ้นมาจากปากแบงเมื่อวาน นับดูที่นั่งมีสิบแปดที่แต่เขาวางเก้าอี้เสริมตรงกลางอีก รวมผู้โดยสารเที่ยวนี้มีประมาณยี่สิบห้าคน นั่งรอจนแปดโมงกว่ารถก็ยังไม่เคลื่อน เห็นมีคนมาตรวจตั๋วมานับจำนวนผู้โดยสารหลายรอบ ได้ความว่ามีไอ้หนุ่มคนหนึ่งลืมเช็คอินตั๋ว ปาดโธ่ รถเที่ยวนี้เขาใช้ระบบเช็คอินตั๋วเหมือนกับเครื่องบินเลยเชียว แอบสำรวจผู้โดยสารนับคนลาวได้ ๕คน ไทย ๒คน นอกนั้นเป็นชาวตะวันตกหมด จับสำเนียงพูดส่วนใหญ่เป็นชาวสเปน กับฝรั่งเศส เลยคุยภาษาอังกฤษกันเข้าใจง่ายหน่อย พ่อหนุ่มที่นั่งข้างๆกระจายกลิ่น “สาบ”เฉพาะตัวรุนแรงปานเยี่ยวอูฐ ดีเหมือนกันไม่ต้องหายาดมเวลาเมารถ โธ่ ไอ้เราอุตส่าห์ตื่นมาอาบน้ำสระผมแต่เช้าหนาวก็หนาว รู้อย่างนี้ไม่อาบหรอกอาศัยกลิ่นพ่อคนนี้กลบเอาก็ได้
เส้นทางจากอุดมไซไปหลวงน้ำทา เป็นทางลาดยางที่สภาพย่ำแย่มาก มีหลุมบ่อตลอดทาง จนถึงแยกนาเตย(ก่อนถึงหลวงน้ำทา ๕๐กม.)ที่มีทางแยกไปชายแดนจีน ถนนหนทางจึงดีได้มาตรฐานทางหลวงของจีน รถเที่ยวนี้มีจอดกลางป่าให้คนโดยสารไปล่ากระต่ายเก็บดอกไม้ด้วย นอกนั้นไม่ค่อยได้จอดรับส่งคนระหว่างทางเท่าไรจึงทำเวลาได้ดี มาถึงหลวงน้ำทาก่อนเที่ยงเล็กน้อย ใช้เวลาเดินทาง ๓ชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง ๑๐๔ กม. ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นทุ่งนา ป่า เขาหัวโล้นที่กำลังเริ่มปลูกยางพารา ...(และเป็นกลิ่นเต่าเจ้าสเปนหนุ่ม)
หลวงน้ำทา ชื่อนี้ดูยิ่งใหญ่น่าสนใจ แต่ถามใครเขาก็ไม่รู้ที่มาของนามนี้ ทราบแต่ว่ามีน้ำทาไหลผ่านเมืองนี้ ที่ราบหรือทุ่งเพียงของหลวงน้ำทากว้างใหญ่พอๆกับ ที่ราบของอำเภอพาน กับพะเยาบ้านเรา ผมแวะไปชิม “ข้าวซอย” และ “ข้าวแลนฟืน”ที่ในตลาดตามคำร่ำลือว่ามาหลวงน้ำทาต้องชิมให้ได้ อร่อยดีครับสมคำลือ ข้าวซอยที่นี่ใช้เส้นคล้ายขนมจีนแป้งสดแต่เส้นออกแบนๆกว่า เหมือนขนมจีนเอาน้ำพริกอ่องโปะหน้าแล้วเอาน้ำร้อนเติม ส่วนข้าวแลนฟืนผมว่าเหมือนเกี้ยมอี๋ที่ไม่ได้ทำเป็นตัวแล้วทำน้ำส้มสายชูหกใส่ เพราะเปรี้ยวจัดมาก ทั้งสองอย่างเป็นอาหารประจำเผ่าของชาวไตลื้อครับ ที่ตลาดหลวงน้ำทาเห็นมีสัตว์ป่าหลายอย่างวางขายอย่างเปิดเผย มีแกงเนื้อฟานที่ทำแบบหมูหนาว (แกงกระด้างล้านนา หรือต้มก้ามของลื้อ) ใส่ถ้วยวางขายอยู่หลายเจ้า
แวะคุยกับอ้ายน้องที่แผนกกสิกรรมแขวง (มาเที่ยวแล้วยังห่วงงานอีก) ได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี หัวหน้าห้องการที่นี่ท่านเป็นลูกศิษย์ของเพื่อนร่วมงานที่หงสา ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกยางพาราของแขวงหลวงน้ำทาว่า ปัจจุบันมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ ๒๑พันเฮกตาร์ ที่ได้กรีดแล้วมีราว ๔๐๐ เฮกตาร์ พ่อค้าคนจีนมารับซื้อ เกษตรกรที่นี่ไม่ได้ทำยางแผ่นเพียงแต่ขายยางเป็นก้อนๆ ราคาที่เคยขายได้กก.ละ ๗ถึง ๘ หยวน ปัจจุบันลดลงเหลือกก.ละ ๓หยวน ระยะเวลากรีดยางตั้งแต่กลางเดือนเมษาจนถึงปลายเดือนธันวาคม ส่วนพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นได้แก่ การปลูกอ้อยแถบชายแดนเพื่อขายส่งโรงงานน้ำตาลในเขตจีน ปัจจุบันมีนายทุนชาวจีนมาลงทุนปลูกต้นยอประมาณ ๑๐๐ เฮกตาร์ ส่วนการปลูกกล้วยหอมส่งจีนนั้นระยะหลังมานี่จีนเริ่มมาปลูกเองในสิบสองปันนาจึงหยุดสั่งซื้อจากหลวงน้ำทา ปรึกษาหารือเรื่องการพาพี่น้องหงสามาศึกษาดูงานแล้วก็อำลากันในเวลาเกือบบ่ายสามโมง มุ่งหน้าจากหลวงน้ำทาไปเมืองสิง ระหว่างทางแวะชมสวนยางพาราอีกสองแห่ง ไม่พบความแตกต่างของยางฯเมืองไทยกับที่หลวงน้ำทา
กลับมาคิดต่อเรื่องการปลูกยางพารา รวมถึงพืชอื่นๆที่ปลูกเพื่อส่งขายเมืองจีน ไม่ว่าจะเป็น กล้วยหอม อ้อยโรงงาน หรือยอ ก็ตาม หากว่าทางจีนระงับการสั่งซื้อแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเกษตรกรชาวหลวงน้ำทา โดยเฉพาะยางพาราที่แตกต่างจากพืชอื่นตรงที่ต้องดูแลนานถึงแปดปีถึงจะได้ผลผลิต ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ หรือว่า กลัวไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่ว่าควรเตรียมช่องทางถอยไว้บ้าง เผื่อทางออกไว้สักช่อง หากต้องล้มพี่น้องเกษตรกรจะได้ล้มบนฟูกกับเขาบ้าง ทำอย่างไรถึงจะให้พี่น้องไม่ทุ่มเทไปกับพืชเชิงเดี่ยว ก็ไม่รู้จะเตือนใครหรอกครับ เตือนตัวเองนี่แหละ แล้วจะพยายามไปซุกยู้พี่น้องชาวหงสาให้คิดตาม...หวังว่าจะได้ผล
บันทึกหน้าถึงเมืองสิงแน่นอนครับ
สวัสดีครับ
อ่านเพลิน จบไม่รู้ตัว
ข้าวแลนฟืน ได้ยินมาช้านาน เห็นในทีวีด้วย แต่ยังไม่เจอตัวจริง เท่าที่เล่ามา ท่าทางไม่น่าจะถูกปากถูกลิ้นเท่าไหร่
ปล. ภาษาลาววันนี้ ซุกยูก หมายถึง สนับสนุน ส่งเสริม ?????