ลำยาว ประวัติเมืองกาฬสินธุ์


มุขปาฐะอีสาน แนวทางการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ฉบับลูกทุ่ง

ชบาไพร นามวัยเดิมชื่อเด็กหญิงบุญมี  นามวัย เกิดในครอบครัวชาวนาพื้นเพคนเมืองกาฬสินธุ์ ภูมิลำเนาเดิมคือที่บ้านหนองตาโพน ตำบลไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ชบาไพร นามวัยในวัยผู้ใหญ่เป็นอดีตเจ้าของวงดนตรี “ลูกทุ่งสาว ชบาไพร  นามวัย “และตำแหน่งนางเอกหมอลำเรื่องต่อกลอนคณะขวัญใจกาฬสินธุ์โดยมีผลงานโดดเด่นและสร้างชื่อให้แก่เธอคือ ขูรูนางอั้ว  เมียสองสมองแตกและ เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร ผู้เขียนเดินทางดั้นด้นเพื่อจะได้พบตัวเธอโดยติดต่อผ่านวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ หลังจากทราบว่าเธอได้รับเกียรติจากวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ กรมศิลปากรเป็นอาจารย์พิเศษในวิชาหมอลำ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา แต่ผู้วิจัยต้องพบกับข่าวร้ายเมื่อทราบว่าเธอได้เสียชีวิตไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่าน ผู้ช่วยนักวิจัยลงพื้นที่ทันทีหลังจากทราบที่อยู่แน่ชัด หลังจากพูดคุยกับสามีของเธอจิกซอตำนานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับลาวเวียงก็เติมเต็มอีกตัว  โดยเราได้กลอนลำที่อดีตหมอลำชบาไพร นามวัยเคยลำไว้ในชื่อกลอนลำยาวประวัติเมืองกาฬสินธุ์

ลำยาวประวัติเมืองกาฬสินธุ์

            มาบัดนี้  ฉันสิขอประเดิมเรื่องประวัติเมืองอันเก่าแก่  กาฬิสินธุ์น้อพี่น้องคนเริ่มก่อแปลง  อันว่าเวียงจันทน์ฮ้างหลายปีแต่ครั้งก่อน  หลายพะยาแต่สืบสร้างกะยังได้อยู่ดั่งเดิม  คิดเมื่อคาวหลังย้อนตอนเวียงจันทน์สิผุผ่าย  เจ้าอนุราชร้ายเวรเค้าได้ก่อกรรม  อันว่าเวียงจันทร์เศร้าเป็นเวรศรโคตร  คำพังเพยผู้เฒ่าโบราณเค้าเพิ่นก่าวจา  เลยๆมาเป็นท่านเท้าสิริบุญสารเพิ่นได้มาสร้างก่อ  เวียงจันทน์น้อมาแตกม้าง  ข้ามลำโขงมาสร้างแสนคำน้ำก่ำ  อันท้าวแสนหน้าง่ำพากันล้ำล่วงหนี  จึงไปถึงลำห้วยแจละแมนามเก่า  ดอนมดแดงพวกผู้เฒ่าพากันเว้าดอกวามา  อันวาโสมพะมิตรเจ้านั่นทนอยู่บ่มีไหว  ไลผ้าขาวลาวเวียงด่วนมาดอกทางใต้  เพิ่นได้พาพลย้ายหนีตายครั้งยิ่งใหญ่  ข้ามเมืองภูท่อซ้างเมืองซั่งนั่นท่อแลน  มันสุดแสนใจกลุ้มกับไทซุมเป็นไข้ป่า  บางคนยาซ่อยบ่ได้เป็นไข่กะทั่งตาย  บ้างกะเฮฮนฮ้องหานายเป็นตะหน่าย  โอนอนาย….พวกหมอลำจั่งค่อยเว้าลงท้ายดอกวานาย  โสมพะมิตรพากันขนพลย้ายกายกุดสิมคุ้มเก่า  เมืองบัวขาวต่อเท่าลงใต้นั่นต่อไป    ถอยลงไปทางใต้บ้านเชียงเครือท่าเดื่อ  ไพร่พลเหลือลดน้อยเหลือน้อยนั่นค่อยไป  เพิ่นได้สร้างพระไว้องค์ใหญ่ฮิมสิม  นามหนองเทาเก่าเดิมดอกมีต้อน  ตอนเหนือนั่นคือกันองค์กั่น  คนห้าพันครบถ่วนพากันซ่วนก่อแปลง  บ่อนนี่คนเพิ่นเอิ้นบ้านกลางหมื่นดอกนามเดิม  คนห้าพันเป็นซื่อเสียงของเมืองบ้าน  พากันตั้งคารมหม่องอยู่  อีกสี่พันเคลื่อนย้ายลงใต้บ่ถอย  อยู่กลางหมื่นเหลือน้อยสร้างก่อเฮือนซาน  นานพอควรก่อแปลงเป็นบ้าน  ผู้ที่ไปทางใต้แก่งสำโรงเป็นท่ง  สงป่าเปลือยก่อตั้งเป็นบ้านอยู่กะเสิม  พระยาโสมพระมิตรพาพลสร้างแปลงเมืองดอกเฮืองฮุ่ง  สงป่าเปลือยฮิมแม่น้าปางซ้ำก่ำหมอง   มีกาทองกระบี่ง้าวตาววิเศษเลวศึก  อยู่โดนนานพอควรส่วนไผ่บ่มีฮ้อน  คำทวาให้ใบนามอุปราช  ราชวงศ์อีกให้นามซั่นซื่อพวง  อยู่กับเจ้าองค์พ่อโสมพะมิตร  เป็นลูกชายหลวงปัทชาร่วมก่อแปลงเมืองบ้าน  โดนนานได้หลายปีได้สร้างก่อ  สร้างวัดวาหมู่บ้านนานล้ำยิ่งประมาณ  น่าสงสารแต่คนเฒ่าเดินทางไกลอิดอ่อน  มองกาลหลังกับต่าวย้อน  พ.ศ พ้นดอกผ่านกาย  บุญบ่หลายกะตายย้อนศึกฮ่อบางคนน้อผัดล้มป่วย   บางคนโซเมื่อยล้าตายถิ่มน่าอิดู   เฮามาคิดฮ่มฮู้ถึงผู้บรรพบุรุษ  ผู้ที่พาเฮาทำก่อนเดิมคาเค้า  พาเฮาแปงปุนบ้านตามการนั่นหลายเซ่น  เอาชีวิตต่อสู้เพื่อซนเซื่อพวกหมู่เฮา  นับแต่ปีสองพันสามสามหกนั่นหลายปีข้ามล่วง  จึงได้นำสารตรา……….เครื่องบรรณาไปทูลเกล้าองค์สมภารผู้ล้ำค่า  องค์พระพุทธยอดฟ้าขอซ่นดอกเพิ่งบุญ  บุญยาล้นกรุณาได้ทรงโปรด  เปลี่ยนซื่อให้นามเค้ากะเล่าไล  ซื่อว่าชัยสุนทรเจ้านามเมืองเนิ่นกะไส  กาฬสินธุ์ใส่ซื่อให้เมืองบ้านเน้นนั่งปอง  หวนคิดดูเปิงบ้านคนโบราณเพิ่นได้กล่าว   โอนอ……………รถบ่อลาม้าบ่พ้อเดินเท้าดอกย่างเดียว  เทียวไปมาหากันนั่นข้ามดงดอนแสนลำบาก  ย่างขึ้นดงลงฮ่อมฮ่วยแสนยุ่งยากกะใจ  ไปเล้วศึกนั่นแฮงฮ้ายเป็นกับตายคนละเคิ่ง  เหลือเป็นเมืองเหลือเป็นเมืองและบ้านยปานนั้นกะว่าบุญ  เฮาควรทูลเทิดไว้พระทรงเกียรติบูชา  พระมหากรุณาธิคุณผู้เขื่อนแขงแปงบ้าน  บุญสมภารของเจ้าคจักกวีเฉลมเกษ  มีปีะเทศให้ไพร่บ้านเฮาได้ซ้นดอกเพิ่งบุญอันวาคุณของท่านสมภารนั่นมีมาก  บรรพบุรุษหากบ่ดีเลิศล้ำทำให้บ้านนั่นหม่นหมอง  อันบุญคุณล้นเกล้าของเจ้าพ่อโสมพระมิตร  หรือ พระยาชัยสุนทรหากมากมายหลายด้าน  การเมืองฮ้อนชาวนิกรนั่นได้เพิ่ง   เมืองกาฬสินธุ์เฮ็ดฮูบปั้นให้คือท้านท่านพระยา  ขอขมาคันผิดพลั้งฝากความหวังกับเจ้าพ่อ      มือถือกากระบี่พร้อมยืนเทินเท้อได้เม่อมอง     มือทั้งสองประนมน้อมกตัญญูรู้คุณค่า      ราชการทุกถ่วนหน้า     ข้าลำร้องให้ท่องจำ  ชัยสุนทรคนเค้าเอานามฮอดสิบสี่  สุดแสนดีตั้งแต่เค้าจนกะเท่าทั่งปลาย  นางบรรยายมาโดนแล้วประวัติเมืองเกี้ยงอ่อฮ่อย  ลำว่าหวานแซบซ้อยอภัยข่อยผู้แอ่วลำ………..ละนา

 

จากการศึกษาตำนานและตำนานประวัติศาสตร์ดังกล่าวช่วยให้เห็นความเป็นมาหรือการคลี่คลายของอดีตได้ตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีการบันทึกเรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษรเพราะฉะนั้นข้อมูลที่ผู้เขียนได้จึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่นำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมลาวเวียงเมืองกาฬสินธุ์โดยเฉพาะลาวเวียงบ้านกลางหมื่น แห่งนี้  เพราะตำนานทางประวัติศาสตร์ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้ช่วยให้ผู้เขียนเกิดความเข้าใจลึกซึ้ง(insights)เกี่ยวกับคนที่นี่มากกว่าการเหมารวมว่าเป็นคนอีสาน(ไทลาว)นอกจากนั้นผู้เขียนยังสามารถมองเห็นภาพความเคลื่อนไหวและแรงผลัก(motives)ความเชื่อและความบันดาลใจของคนในท้องถิ่น ยิ่งกว่านั้นตำนานดังกล่าวยังให้ผู้เขียนสืบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับบุคคลในประวัติศาสตร์(historical figure)ทั้ง หลวงปู่สามขาบุคลสำคัญของบ้านกลางหมื่น หรือ แม้แต่ท้าวโสมพะมิตรเจ้าเมืองคนแรกของเมืองกาฬสินธุ์

หมายเลขบันทึก: 22315เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2006 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 05:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เรื่องจริง

เรื่องที่ดิฉันจะได้เล่าให้กับท่านได้อ่านต่อไปนี้เป็นความจริงที่ดิฉันได้สัมผัสมาจากโรงพยาบาลกาฬสินธ์แห่งนี้และถือว่าเป็นความเจ็บซ้ำของดิฉันและครอบครัวมากคะ ก่อนที่จะได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ดิฉันขอสารภาพว่าเคยคิดที่จะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงไปกับความทรงจำที่เลวร้ายและคิดเสียว่าฝันไปคะแต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความ รัก ความเมตตา และความยุติธรรมในจิตใจ เหมือนกับทุกบนโลกใบนี้ ดิฉันจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่จะต้องมารับชะตากรรมเหมือนกับคนในครอบครัวของดิฉัน และดิฉันจะมีคำถามขึ้นทุกครั้งเวลาที่คิดถึงเรื่องที่นี้ว่า “ ความเป็นธรรมในชีวิตของเราอยู่ไหน ความปรอดภัยของชีวิตคนจนๆ หาได้จากอะไร “

ท่านเคยคิดไหมคะว่า เราคนต่างจังหวัดที่เป็นคนทำไร่ ทำนา หาเช้า กินค่ำ และเสีย ภาษีเท่าเทียมกับคนมี เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วทำไมเรา ไม่ได้รับโอกาสเหมือนคนที่เขามีเงิน ?

เรื่องมีอยู่ว่าดิฉันเองเป็นประชากรที่จังหวัดกาฬสินธ์ค่ะ แต่ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะคะ อยู่ใน อำเภอเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากค่ะ ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวอำเภอไปที่ตัวเมืองประมาณ 2 ชั่งโมงคะซึ่งก็ถือว่าไกลนะคะสำหรับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ดิฉันได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาต่อในตัวเมือง จังหวัดขอนแก่นค่ะ ตอนนั้นดิฉันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งค่ ะ ซึ่งถ้าใครพอที่จะทราบเกี่ยวกับจังหวัดขอนแก่นก็พอที่จะเดาออกนะคะ ว่าจะเป็นที่ใดเพราะสถาบันการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในขอนแก่นก็มีไม่กี่ที่ ที่เปิดสอนปริญญาตรีค่ะ ดิฉันมียายคนหนึ่งที่ดิฉันรักมาก และท่านก็รักดิฉันมากเช่นกันค่ะ ด้วยฐานะที่ยากจนดิฉันเห็นท่านลำบากมานาน ท่านเป็นคนใจดีมากและรักลูกหลานทุกคนคะเป็นคนอ่อนโยนมากในสายตาของดิฉัน ดิฉันมีตั้งใจไว้ว่าถ้าดิฉันเรียนจบดิฉันจะเป็นคนดูแลท่านเองจะส่งเงินให้ท่านใช้คะ ซึ่งดิฉันก็เป็นคนเดียวที่จะเป็นความหวังของทุกคนเพราะในตระกูลนั้นมีดิฉันเพียงคนเดียวที่ได้เป็นปริญญาตรี ซึ่งในตอนนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วสำหรับครอบครัวที่มีฐานะยากจนอย่างพวกเรา และดูเหมือนว่ายายก็รู้สึกภูมิใจมากที่ดิฉันทำได้ เพราะเวลาที่มีคนถามว่าใคร หลานเหรอ ยายดิฉันก็จะตอบว่า หลานเรียนจะจบปริญญาแล้ว และก็ยิ้ม ยิ้มแล้วเห็นฟันดำค่ะ เพราะคนแก่ที่บ้านนอกเค้าจะเคี้ยวหมากกันค่ะฟันเลยดำ ลืมบอกค่ะยาย มีรูปร่างผอมมากคะแล้วก็ผมหงอกเป็นสีขาวทั้งหัวเลยคะสวยมากนะคะไม่มีเส้นดำเลยค่ะ ดิฉันยังเคยล้อยายเล่นเลยคะว่ายายให้ถอนผมดำให้มัย เพราะว่าคนอื่นเค้าให้ถอนผมขาว อิอิอิอิอิ มีวันหนึ่งก็เป็นวันที่ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่ายายไม่สบายมีผืนคันตามตัว อย่างรุนแรง ตอนแรกดิฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรมากจึงคิดว่าเป็นภูมิแพ้หรือแพ้อากาศทั่วไป จึงบอกให้ไปหาหมอที่อนามัยเพื่อขอ คาลามายด์มาทาตัว เผื่อจะหาย ผ่านมาได้ 1 วันทางบ้านก็โทรมาว่ายายทานข้าวไม่ได้ และอาการหนักดิฉันจึงสงสัยว่ายายจะเป็นอาการแพ้ยายอะไรหรือเปล่า จึงบอกให้ทางบ้าน คือน้า ซึ่งเป็นลูกของยาย ซึ่งเขาก็มีครอบครัวกันแล้ว บอกว่าให้เลิกทานยา ที่แกท่านอยู่ทุกตัว เพราะปกติแล้วยายของดิฉันจะทานยากับโรงพยาบาลจิตเวช สาเหตุที่ต้องทานยาเพราะเรื่องมีอยู่ว่ายายมีเรื่องทะเลาะกับข้างบ้านเรื่องเขตแดนที่บ้านอย่างรุนแรงแล้วยายเป็นคนคิดมากจึงทำให้เกิดเครียดขึ้นมาแล้วมีผลทำให้เกิดอาการทางประสาท จึงต้องทานยา อาการก็หายดีขึ้นเรี่อยๆจนปกติค่ะ แต่ยายยังต้องทานยาคลายเครียด และยาวิตตามินอยู่ค่ะ แต่ยายก็ไม่เคยแพ้ยา ส่วนความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านก็ดีเหมือนเดิมแล้วคะยังพึ่งพาอาศัยกันเหมือนเดิมคะ ต่อนะคะอธิบายยาวเลย.... หลังจากที่บอกน้าห้ามยายทานยาทุกตัวแล้ว น้าดิฉันก็เล่าสาเหตุให้ฟังว่า ยายกินขนมจีนเข้าไป แล้วยายบ่นว่าเจ็บท้อง น้าเลยพายายไปหาหมอที่คลินิค หมอที่ชื่อขึ้นต้นด้วยธีร ลงท้ายด้วยสถานที่ชาวพุทธเคารพ ที่อำเภอสำเด็จ ใกล้ สี่แยกไฟแดง ไปทางแยกไปสกลนคร ผู้คนย่านนั้นรู้จักกันดี

หลังจากตรวจหมอบอกว่าผลคือ ลำไส้อักเสบ หลังจากนั้นหมอก็ฉีดยา 1 เข็ม และให้ยามาทาน จำนวน 3 ซอง 4 เวลาหลังอาการ หลังจากที่กลับมายายก็ทานยา แล้วก็เกิดรู้สึกว่ามีอาการคันแต่ยายก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวยาก็ทานต่อไป 2 วัน จนวันที่สองอาการเริ่มมากขึ้นน้าจึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลคำม่วง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลคำม่วง ที่เป็นด่าน ปฐมพยาบาล คัดกรองเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาลกาฬสินธ์ เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ อยู่ห่างอำเภอที่ดิฉันอยู่ ประมาณ 6-7 กิโลเมตรถนน เป็นหลุมเป็นบ่อกว่าจะถึงต่อคะ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลคำม่วงดิฉันก็โทรไปสอบถามถึงอาการของยายว่าเป็นอะไรจากนางพยาบาลโดย ขอเบอร์โทรจาก 1133 ซึ่งก็ได้ผล พยาบาลบอกว่ายายสบายดีไม่เป็นอะไรมากลุก นั่ง ทานข้าวได้ตามปกติ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ดิฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น วันต่อมายายก็ได้กลับบ้านโดยหมอให้ยาทานและยาทา พร้อมบอกว่าถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้กลับมาอีก อยู่บ้าน 1 วันต่อมาน้าดิฉันก็โทรมา บอกว่ายายไม่ดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นเหตุการณ์แบบนี้ดิฉันก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่ายายจะเป็นโรคแพ้ยาแบบธรรมดาเสียแล้ว ดิฉันจึงเอะใจ และเช็คข้อมูลทางอินเตอร์เนต ผ่านเวป GOOGLE พิมพิ์คำว่า แพ้ยา

ก็พบข้อมูล ข้อคุณพระช่วยนี่คนแพ้ยาอาการหนักขนาดนี้เลยหรือ เพราะในภาพใน กรูเกิล แสดงภาพของผู้ที่เพ้ยา ที่มีอาการเปลื่อยตามร่างกายเหมือนคนโดนไฟไหม้ ปาก ตา คาง เยื่อที่เป็นที่อ่อนๆเปลื่อยหมดเลย

ทำไมน่ากลัวจังดิฉันได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้ยายเป็นหนักเหมือนในภาพด้วยเทอญ ด้วยความกังวลดิฉันก็หาข้อมูลจนละเอียดระหว่างนั้นแม่ก็กลับไปถึงบ้านแล้ว เพราะแม่ไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันจึงโทร ถามแม่ว่ายายเป็นไงบ้าง (ตอนนั้นดิฉันยังไม่ได้กลับเพราะอาจารย์ออกแนวข้อสอบ พรุ่งนี้ถึงจะกลับได้ ) ต่อค่ะ แม่บอกว่ายายเป็นแผลไปทั้งตัว ทั้งตา ปาก รูทวาร ปากมดลูก และที่ไหนที่เป็นที่อ่อนๆ ดิฉันจึงถามไปว่า แผลเหมือนคนถูกไฟไหม้ใช่ไหม แม่ตอบว่าใช่ ในช่องปาก และลิ้นก็เปลื่อย จนทานอะไรไม่ได้เลย พอได้ยินดังนั้นดิฉันก็แน่ใจว่ายายเป็นโรค แพ้ยายรุนแรง หรือเรียกว่า สตีเว่นจอนสัน ซินโดม เหมือนที่เปิดเจอใน

อินเทอร์เนต พอเอาแนวข้อสอบเสร็จดิฉันก็รีบกลับบ้าน พอไปถึงบ้านก็เห็นยายนอนบนบ้านในสภาพที่ทรมานมาก คือเปลื่อยไปทั้งตัว ดิฉันเกือบน้ำตาไหลแต่ทนไว้เพราะไม่อยากให้ยายคิดว่าตนเป็นหนักกลัวท่านคิดมาก ดิฉันจึงไปปกราบยาย ยายเห็นดิฉันก็ดีใจมาก มีเพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่ายายน่าสงสารมากเวลาขึ้นบ้านหรือเวลาไปไหนต้องใช้ข้อศอกเดินคานเอาใช้มือไม่ได้เพราะมือก็เปลื่อย และเป็นหนักจนถึงขั้นนอนอยู่กับที่เพราะเดินก็ไม่ได้หนังเท้าเปลื่อย และพุพอง ลงน้ำหนักไม่ได้เพราะจะเจ็บมากเหมือนโดนน้ำร้อนลวก เราได้ปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะพายายไปหาหมอที่โรงพยาบาลคำม่วง และถามน้าว่า ยาที่หมอ ธีร......ได้ให้นั้นอยู่ที่ไหน น้าบอกว่าหมอที่โรงพยาบาลคำม่วงเอาไปยังไม่คืนให้ ดิฉันก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหาหมอก็ขอยานั้นกับหมอเลยก็ได้

( เพราะยาที่กินจากคลินิกนี้จะง่ายต่อการรักษาอาการได้ถูกทาง และที่สำคัญใช้เป็นหลักฐานในการเอาผิด)

เย็นวันนั้นดิฉันได้ไปซื้อสำลีเพื่อมาเช็ดแผลให้ยายที่คลินิกแพทย์ประจำหมู่บ้าน แพทย์ถามว่าเอาไปทำไมดิฉันจึงตอบไปว่า เอาไปทำแผลให้ยาย ยายแพ้ยา จนเปลื่อยทั้งตัว แพทย์จึงให้คำปรึกษาว่า เอายาที่แพ้ไปให้หมอที่คลินิคที่เราไปรักษาให้เขาดูแล้วให้เขารับผิดชอบในการรักษาให้เพราะเขาทำให้เป็นแบบนี้พอวันรุ่งขึ้นดิฉันและครอบครัว จึงตัดสินใจพายายเหมารถยนต์ ใน ราคา 3000 บาท เพื่อพายายไปหาเหมอที่สำเด็จ พอไปถึงพบผู้ช่วยสองคน ซึ่งพูดไม่ไพเพราะเลย หน้าบึ้งตึง พอเราอุ้มยายลงมานอนที่เตียง ก็ถามว่า กินอะไรผิดมา เป็นแบบนี้ทำไม พึ่งมา พูดแบบมีอารมณ์ ดิฉันจึงตอบว่าแพ้ยาจากที่นี่แหละ ค่ะ ที่เพิ่งมาเพราะยังไม่ทราบอาการและไม่นึกว่าจะเป็นขนาดนี้ เขาจึงพูดว่านั่งอยู่นี่แหละรอหมอไปก่อน พอดิฉันเข้าไปข้างในก็พบสภาพคลินิคที่ใครเคยเข้าไปรักษาก็ต้องจินตนาการภาพออก มีเตียง เล็ก 4-5 เตียง ผู้ช่วยจะให้คนไข้ไปรอข้างในเหมือนเด็กรอ

ขนม ยืนในห้องตรวจที่มีห้องโถงห้องเดียวมี ห้องน้ำติดกัน คนไข้บางคนไม่มีที่นั่งก็ยืนรอหมอในห้องนั้นเลย ประมาณก็ 15-20 คน ในนั้นมีทั้งเด็ก และคนแก่ เครื่องมือทางการแพทย์ก็ไม่มี ภายในห้องก็สะอาด และมากมีเครื่องเอกเรย์เล็กๆ 1 เครื่อง น้าบอกว่า นี่แหละหมอใช้เอกซ์เรย์ให้ยายและบอกว่าเป็น ลำไส้เอกเสบ เครื่องขนาดจอคอมประมาณ 14 นิ้ว ตั้งอยู่ในนั้นมีเครื่องมือเครื่องเดียวที่ดูดีที่สุดนั้นคะ หมอมาถึงก็จับคนไข้ฉีดยา 2-3 คน น่าแปลกมากที่หมอจับคนไข้ฉีดยาทั้งที่ไม่ได้สอบถามอาการอะไรเลย ฉีดยาเสร็จก็ไล่ออกไปข้างนอกบอกให้ไปรับยาข้างนอก แล้วหมอรู้ได้ไงว่าคนไข้เป็นโรคอะไร แปลกมาก จับฉีดยาอย่างเดียว ยาย ดิฉันตรวจเป็น

คนที่ 3 พอหมอเห็นสภาพของยายหมอก็ตกใจเพราะดูอาการออกคะและไม่พูดอะไร แล้วหมอก็ถามว่าทำไมพึ่งมา ดิฉันตอบว่ายังไม่ทราบอาการ ได้ไปหาหมอที่คำม่วงแล้วหมอบอกว่าให้กลับมาดูอาการที่บ้าน หมอธีร.....พูดว่า ไม่เป็นไรมากและฉี ดยาให้ยาย หมอพูดต่อว่าคงแพ้ยาที่ฉีด ไม่ใช่ยาทาน หนูเลยแกล้งถามว่ายายจะหาย

ไหม หมอบอกว่าหายถ้ารักษากับหมอเป็นระยะ มาฉีดยากับหมอทุกวันวันละ 1 เข็ม (คิดดูคะ เหมารถวันละ3000 บาท ระยะทางเป็นเกือบร้อยกิโลเพื่อที่จะมาฉีดยาเข็มเดียวทุกวัน) ดิฉันจึงพูดว่าไม่ได้เหรอกคะคุณหมอเพราะเราเหมารถมาวันละ 3000 เราไม่มีเงินขนาดนั้น หมอบอกว่าถ้าคุณอยากหายก็ต้องมา ดิฉันจึงพูดว่าคุณหมอช่วยทำเรื่องส่งตัวยายไปรักษาที่โรงพยาบาลกาฬสินธ์ได้ไหมคะ (เพราะหมอทำงานประจำที่โรคพยาบาลกาฬสินธ์ )คุณหมอตอบว่าไม่ได้ ให้กลับไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านแล้วค่อยมาฉีดยากับหมอ วันละเข็ม

ดิฉันจึงพูดต่อว่า คุณหมอคะถ้ากลับไปบ้านดิฉันกลัวว่าจะเป็นแผลติดเชื้อคุณหมอช่วยให้ยาทาหรือบอกวิธีการล้างแผล ไม่ให้ติดเชื้อไหมคะ เพราะหนูเป็นห่วงที่ตาคะกลัวจะติดเชื้อแล้วตาบอด หมอบอกว่าไม่ได้ เวลาล้างก็เอาน้ำเปล่าล้างธรรมมาก็ได้ ดิฉันจึงถามไปว่าจะล้างได้ไงคะจะไม่ติดเชื้อหรือ หมอบอกว่าไม่ หมอก็เงียบ ผู้ช่วยคนหนึ่งรูปร่างท้วมหน่อยจึงบอกว่า คุณหมอบอกว่าจะดูให้ได้ยินไหมโดยการพูดตะคอกใส่ดิฉัน พร้อมทำหน้าบึ้งตึง ดิฉันเห็นความไม่รับผิดชอบในจรรยาบรรณของหมอจึงพูดกลับไปว่า คุณหมอคะ

โรคนี้มันคือโรค สตีเว่นจอนสัน หรือโรคแพ้ยารุนแรง ผิวหนังไหม้พุพองเหมือนไฟไหม้ จะเปลื่อยลามกัดกินเนื้อเยื่อเป็นโรคที่หมอทุกคนไม่อยากเจอ ตา ถ้ารักษาไม่ทันตาอาจจะบอดได้ และจะไปทำลายอวัยวะภายใน และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้คุณหมอจะไม่ช่วยอะไรเลยหรือ เมื่อหมอได้ยินดิฉันพูดที่ดูเหมือนว่าจะรู้กี่ยวกับโรคนี้ว่ามีสาเหตุจากอะไร ท่าทางก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะตอนดิฉันพูดนั้นดิฉันพูดให้ทุกคนในนั้นได้ยินหมดและเขาก็รอรับการรักษาอยู่ ท่าทีของหมอเริ่มอ่อนลง หลังจากที่ไม่ให้ข้อมูลอะไรเลยไม่บอกไม่พูดไม่รับ ก่อนจะกับด้วยการทะเลาะท่านก็เล่นบทคนดีด้วยการบอกให้ผู้ช่วยเรียกดิฉันไปคุย แบบเป็นส่วนตัวที่โต๊ะ ทำงานคงกลัวว่าดิฉันจะเอาเรื่อง แต่ข้อมูลที่ได้ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์การรักษาเลย ที่แย่ไปกว่านั้นผู้ช่วยได้จัดยาให้ผิด เพราะหมอสั่งยาแค่ 3 ชุด แต่ผู้ช่วยจัดให้ 4 โดยระหว่างนั้นคุณหมอก็ได้ตรวจดูยาที่ผู้ช่วยเตรียมไว้ให้ในมือของดิฉัน และบอกผู้ช่วยว่าไม่ใช่อันนี้ชองนี้ไม่ใช่และดิฉันดูยาในถุงมี 4 ซอง หม อให้จ่ายยาแค่ 3 ซอง พระเจ้าช่วยแพ้ยาขนาดนี้ยังให้ยาผิดอีกหรือ เราก็ไม่กล้าที่จะให้ยายทานยาที่หมอธีร....ให้มาหรอกคะ เพราะในระหว่างที่รอการรักษาของหมอฉันมองเห็นผู้ช่วยสองคนตักยา เหมือนตักขนมขาย ไม่ใส่ถุงมือ ตกพื้นแล้วก็หยิบใส่ซองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากนั้นผู้ช่วยของหมอทั้ง 2 คน ท่าทีก็อ่อนลง จากแข็งกระด้างพูดดูถูกเรา คงดูจาการแต่งตัวและคิดว่าไม่มีความรู้ เรื่องพวกนี้ เห็นว่าเป็นบ้านนอกแล้วจะมาทำร้ายกัน คิดว่าเป็นตาศรี ตาสา แล้วไม่ให้การดูแลทที่ได้มาตรฐานเพราะไม่มีการศึกษา และไม่มีเงินตรา แต่คุณคิดไหมว่าเงินของพวกชาวนา นี่กว่าจะได้มามันยากลำบากแค่ไหน เขาต้องทำงานหนัก หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ตากแดด เก็บออมกว่าจะได้มา และเขาใช้สอยอย่างประหยัดขนาดไหน และก่อนที่เขาจะเดินทางมาเพื่อที่จะรับการรักษา กับคุณมันลำบากขนาดไหน บางคนถึงขนาดหยิบยืมเงินมาเพื่อรับการรักษา ต่างกับคุณที่ขับรถคันหรูราคาแพง รักษาแล้วเรียกกี่บาทก็ได้เพราะคุณมีความรู้ แต่คุณลืมแล้วหรือว่าความรู้ควบคู่กับจรรยาบรรณเสมอ หรือเพราะคิดว่า เราไม่มีความรู้แล้วตอบแทนเราอย่างนี้คุณคิดว่าคุณทำถูกแล้วหรือ

ชีวิตคนจน บ้านนอกไม่มีค่าพอที่จะทำให้คุณกล้าที่จะยอมรับผิดเลยหรือไร จรรยาบรรณอยู่ที่ไหนท่องจนขึ้นใจเพื่อที่จะผ่านประเมินการศึกษา แต่คุณลืมท่องจนขึ้นใจก่อนที่จะรักษาเพื่อให้ผ่านการประเมินของคนไข้ และคุณก็ ใช้จรรยาบรรณทำลายคนไร้เงินตรา และการศึกษา.................(อยากพวกเรา)

...............ชีวิตคนคนหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นบางๆ ควรแล้วหรือที่จะให้คนที่ไม่ได้มีความรู้ในด้านยา เลยมาช่วยในการชีวิตคน แล้วเราคนจนจะไม่ต้องการความมั่นคงและปรอดภัยเหมือนเช่นคุณรักชีวิตตัวเองงั้นหรือ (คุณหมอ ธีร......และผู้ช่วย)

ยังไม่จบค่ะมีอีกยาวค่ะ แล้วคุณจะได้อะไรมากกว่านี้เยอะรับรองคะ ติดตามตอน 2 เร็วๆนี้

สวัสดีค่ะ.

แฟนๆของแม่ชบาไพร นามวัย ทุก ๆท่าน ดิฉันเป็นลูกสาวคนที่2ของแม่ชบาไพร นามวัยค่ะ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในตัวคุณแม่ของดิฉันด้วยน่ะค่ะถึงแม้ว่าแม่ชบาไพร นามวัย จะได้ถึงแก่กรรมมานานแล้ว ท่านก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับวัฒนธรรมของไทยอย่างภาคภูมิใจค่ะ

และดิฉันในนามนางสาวอรทัย ดอนน้อยโม้ ลูกสาวคนที่ 2 ของแม่ชบาไพร นามวัยกับคุณพ่อคำใหม่ ดอนน้อยโม้ ของขอบพระคุณอย่างสูงค่ะที่ไม่ลืมบุคคลที่ชื่อว่า ชบาไพร นามไว และลูกสาวคนนี้จะสืบสานศิลปะวัฒนธรรมไทยหมอลำอีสานให้แม่เท่าที่จะทำได้น่ะค่ะ.

ได้อ่านเรื่องตอนแรกแล้ว เศร้าและรู้สึกสงสารยายของคุณมากค่ะ เพราะตัวเองเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่ มีแต่ยายที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก จากแกมาได้ 5 เดือนแล้วและก็อยู่ไกลเหลือเกิน แกจะกินจะนอนยังไงก็ไม่รู้ เป็นห่วงมากเลย ขอให้คุณเล่าเรื่องของยายคุณต่อด้วยนะคะ จะรออ่าน

จาก อังกฤษ

อ่านข้อความจากอ้อมกอดในสายลม

ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแม่ชบาไพร ดีมากครับ ขอบกลอนของท่านทุกกลอนนะครับ ขอบคุณ จริง ๆ

อ่านจนจบ และเข้าใจจริงว่าประเทศนี้มันเกิดอะไรขึ้น หมอส่วนใหญ่ เอาเปรียบสังคมจริงๆเรียนก็ใช้ทุนรัฐ จบมาอยู่ ร.พ ก็โกงเวลาอยู่แต่คลินิคตัวเอง รวมหัวกันเเละจัดตั้ง ร.พ เอกชน ร่วมกันขูดรีดค่ารักษา มหาโหดร่ำรวย แบ่งปันกัน ผมคนหนึ่งละที่รังเกลียดคนพวกนี้    

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท