เล่าเรื่อง The Secret


เมื่อไม่นานมานี้ได้ดูสารคดีเรื่อง The secret (http://www.thesecret.tv) ซึ่งสร้างมาจากหนังสือขายดีมาก ๆ ชื่อเดียวกันนี้ ใจความของหนังพูดถึงกฎแรงดึงดูด (Traction) ของธรรมชาติ โดยให้ความเห็นว่า ส่วนประกอบที่ย่อยที่สุดในตัวคนเรานั้นคือพลังงาน ซึ่งก็เชื่อมโยงกับพลังงานอื่นๆ ในธรรมชาติ และความคิดที่ปรากฎเป็นภาพในสมองของคนเรานั้นก็จะดึงดูดให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ ดังนั้นการที่เราไม่อยากใด้อะไร จึงมักจะเกิดกับเรา เพราะสิ่งที่ไม่อยากได้นั้นปรากฏเป็นภาพในสมอง เช่น เรามีปัญหาหนี้สิน ไม่อยากเห็นใบเรียกเก็บเงินส่งมาที่บ้าน ภาพใบเรียกเก็บเงินที่ปรากฏในสมองจะยิ่งทำให้มีแต่ใบเรียกเก็บเงินส่งมา


วิธีแก้คือ คิดแต่เรื่องดี ๆ และเชื่อมั่นว่ามันจะเกิดขึ้น รวมไปถึงสร้างความรู้สึกดี ๆ ว่าเราได้เป็นเจ้าของสิ่งที่อยากได้นั้นแล้วจริง ๆ ดังเช่นในเรื่องไม่อยากเป็นหนี้ ก็ใช้วิธีนึกถึงว่ามีเชคสั่งจ่ายเงินส่งมาที่บ้านแทน และแก้ตัวเลขสมุดบัญชีธนาคารจากติดลบให้กลายเป็นบวก (ถ้าเป็นเมืองไทยจะติดคุกไหมเนี่ย...) เพื่อสร้างความรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วมันก็จะเป็น หรือดังเช่นแม่ชีเทเรซาไม่พูดถึงการต่อต้านสงครามแต่เชิญชวนผู้คนให้มาร่วมกันสร้างสันติแทนก็เป็นไปตามกฎที่ว่านี้
แล้วมันเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร... หนังเรื่องนี้อธิบายว่า ธรรมชาติมีอะไร ๆ ที่เกิดขึ้นได้เองตามแรงดึงดูดของพลังงานอยู่แล้ว เช่น ต้นไม้ก็เติบโตขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยความพยายามอะไรมาก


กฎแรงดึงดูดนี้มีวิธีนำไปใช้ได้หลายอย่าง เช่น ชายหนุ่มรูปงามผู้มีชีวิตท่ามกลางหญิงสาวแต่กลับไม่มีเดทกับสาวใด ๆ สักคน เมื่อที่ปรึกษาได้ไปเห็นที่บ้านของเขาก็พบว่าที่บ้านนั้นเต็มไปด้วยรูปวาดประดับฝาผนังที่เป็นรูปหญิงสาวในกริยาต่าง ๆ กัน แต่สายตาของหญิงสาวเหล่านั้นดูจะมีสายตาดูเหยียด ๆ ใส่คนที่มองรูปนั้น ที่ปรึกษาจึงได้แนะนำให้วาดรูปใหม่ เป็นรูปตนเองมีความสุขอยู่ท่ามกลางหญิงสาว ซึ่งมันก็ได้ผลจริงตามรูปภาพ

กฎนี้ยังนำมาใช้ทางการแพทย์สำหรับรักษาโรค เช่น การใช้ยาหลอก (เมล็ดยาซึ่งไม่มีตัวยาอยู่จริง) เพื่อให้ผู้ป่วยคิดว่าจะหายได้ แล้วก็หายจริง ๆ และผู้ป่วนมะเร็งที่รักษาตนหายได้โดยทำใจนึกถึงตัวเองที่มีสุขภาพดี ร่วมกับการทำอารมณ์ให้แจ่มใสโดยดูภาพยนตร์ตลก ๆ

ความเชื่อเรื่องกฎนี้ตรงกับหลักการคิดบวกของการจัดการความรู้ แต่ผมมองว่า การคิดว่าจะได้อะไร แล้วก็รอให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเองนั้น ขัดกับแนวคิดในเรื่องการลงมือปฏิบัติ (Action) ของการจัดการความรู้ (อาจรวมถึงเรื่อง Systems Thinking ด้วย) คือในทาง KM แม้จะสนับสนุนให้คิดบวก แต่ก็บอกว่าต้องลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาด้วย (ใครได้อ่าน The top secret ของ ทพ. สม มีแนวคิดไว้ว่าอย่างไรในเรื่องนี้ช่วยนำมา Share หน่อยก็ดีครับ)


ส่วนใครจะลองเอากฎนี้ไปใช้ก็ไม่ปรากฏว่ามีการสงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด แล้วถ้าใช้ได้ผลเป็นไงอย่าลืมมา Feed Back ด้วยก็แล้วกัน

หมายเลขบันทึก: 220524เขียนเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2008 15:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 18:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีค่ะ

วันนี้มานั่งรอลูกชายเรียนพิเศษที่สยาม จึงมีเวลาShareกับน้องอ้วนหลายเรื่อง

ลูกชายซื้อหนังสือ The Top Secret มาอ่าน พี่ได้แต่อ่านผ่านๆ แต่ก็อาจจะ share ได้ว่า หากเรามีความต้องการอย่างแรงกล้าในเรื่องใด ความต้องการนั้นจะทำให้เราเสมือนหมกมุ่นอยู่กับความคิดและปฏิบัติอยู่เสมอจนดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจรึเปล่า จึงนำไปสู่ผลที่เราต้องการได้ในที่สุด

แต่ก่อนหน้าที่จะอ่าน เวลาขับรถไปธุระที่ไหนในกรุงเทพฯ (ในกรณีซีเรียส) พี่มักจะตั้งจิตอย่างแรงกล้า ขอที่จอดรถ และก็มักจะได้แทบทุกครั้ง ก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เมื่อมาอ่านเจอหนังสือเล่มนี้ ก็ยังสงสัยว่าเป็นเพราะพลังแรงดึงดูดนี่เองหรือ

สวัสดีคะ ดิฉันมีความสนใจ เรื่อง The Secret เช่นกันคะ วันนี้ได้ไป อบรมในสถาบันจัดอบรมในหลักสูตร "พลังศักยภาพกับความ สำเร็จ" สิ่งที่ประทับใจอย่างหนึ่ง คือ ได้เข้าใจ The Secret กระจ่างและเห็นภาพชัดขึ้น กว่าอ่านหนังสือเอง เพราะมีตัวอย่างที่ประสบ ความสำเร็จจริงให้ดูด้วยคะ นอกจากนี้ยังได้รู้ว่า The Secret เป็นวิธีทางตะวันตก ซึ่งได้เห็นข้อเปรียบเทียบกับวิธีทางตะวันออก ก็คือ ทางพุทธศาสนาของเรานั่นเอง ซึ่งเราทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อดึงดูดทุกอย่างเราต้องการได้จริง สามารถวางแผน และกำหนดวิธีการได้ง่าย ชัดเจนขึ้น พออบรมเสร็จ รู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นจนนอนไม่หลับเลยคะ เลยอยากแบ่งปัน ประสบการณ์เดียวกันคะ [email protected]

ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนครับ หวังว่าจะประสบความสำเร็จกับการใช้งานครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท