ปัจจุบันคนมักมองว่ารูปร่างของตนเองเป็นแบบใดขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนบุคคลหรือเป็นการแสดงความคิดว่ามีรูปร่างแบบใด
ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงและอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ดังจะเห็นได้จากการที่กลุ่มนางแบบในปัจจุบันที่วงการแฟชั่นทั่วโลก
ได้จุดกระแสขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2006 ที่ผ่านมา ก็คือ
การที่ผู้จัดงานแฟชั่น วีค ทั่วโลก พร้อมใจกันแบนนางแบบที่ผอมผิดปกติ
โดยห้ามไม่ให้นางแบบที่ผอมเหมือนคนเป็นโรคขาดอาหารเดินแบบโดยเด็ดขาด
หลังจากการตายระหว่างเดินแบบ ของนางแบบชาวอุรุกวัย
ที่ไม่ยอมกินอะไรเลยก่อนเดินแบบ
เพราะคิดว่าถ้าผอมจะทำให้ตัวเองดูดีและมีชื่อเสียงมากขึ้น
การตายของนางแบบอุรุกวัย ทำให้ แมดริด แฟชั่น วีค ของสเปน
เป็นประเทศแรกที่ประกาศแบนนางแบบที่ผอมผิดปกติทันที
โดยจะไม่ยอมให้เดินแบบ ถ้านางแบบคนนั้นมีมวลรวมของร่างกาย(body mass
index)อยู่ที่ระดับตํากว่า 18 ในทางการแพทย์บอกว่า
ปกติแล้วคนเราควรมีมวลรวมของร่างกาย(body mass index)อยู่ที่ระดับ 18
ขึ้นไป จึงจะถือว่ามีสุขภาพดี
ในทางกลับกันความอ้วนนี้ยังก่อให้เกิดต่อการเกิดอาการและโรคต่างๆ มากมายอาทิ อาการหายใจไม่อิ่ม ,ทำให้ข้อต่อต่างๆ ของร่างกายแบกรับน้ำหนักมากขึ้น, แผลจะหายซ้าและติดเชื้อได้ง่าย,โรคหัวใจขาดเลือด ,โรคเบาหวาน,นิ่วในทางเดินน้ำดีเพิ่มขึ้น ,ความดันโลหิตสูง ,หัวใจขาดเลือด ,เส้นเลือดในสมองตีบ,โรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่มะเร็งที่พึ่งฮอร์โมนในผู้หญิงได้แก่ โรคมะเร็งมดลูก โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม ส่วนในผู้ชายได้แก่มะเร็งลูกหมาก นอกจากนั้นยังพบว่ามะเร็งทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และโรคมะเร็งถุงน้ำดี ฯ ซึ่งเป็นการบั่นทอนสุขภาพให้เสื่อมโทรมและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ฉะนั้นการที่มีรูปร่างที่ดีก็จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในการตรวจสอบรูปร่างของตนเองสามารถหาได้จากดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] ซึ่งคิดค้นโดย Mr.Adolphe Quetelet ชาวเบลเยี่ยม เป็นค่าที่อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวและส่วนสูง มาเป็นตัวชี้วัดสภาวะของร่างกายว่ามีความสมดุลของน้ำหนักตัวต่อส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ ค่าดัชนีมวลกายสามารถคำนวณได้โดยนำน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร) ดังนี้
ดัชนีมวลกาย(BMI)
= น้ำหนัก(กก) |
ตัวอย่างการคำนวณ |
น้ำหนัก 75 กก. ส่วนสูง 180ซม. 1. น้ำหนักตั้ง 75 กก. 2. ส่วนสูงxส่วนสูง = 1.80x1.80= 3.24
3.
ดัชนีมวลกาย=
75/3.24=23.14
กก/ตารางเมตร
รูปร่างสมส่วน |
เมื่อคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] ได้แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับตารางว่าท่านมีรูปร่างอย่างไร
ดรรชนีมวลกาย |
||
รูปร่าง |
ชาย |
หญิง |
ผอม |
น้อยกว่า 19.00 |
น้อยกว่า 18.00 |
สมส่วน |
ระหว่าง 19.01 - 24.99 |
ระหว่าง 18.01 - 23.99 |
น้ำหนักเกิน |
ระหว่าง 25.00 - 29.9 |
ระหว่าง 24.00 - 29.9 |
อ้วนไป |
มากกว่า 30 |
มากกว่า 30 |
ความสำคัญของการรู้ค่าดัชนีมวลร่างกาย BMI [body mass index] เพื่อดูอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ถ้าค่าที่คำนวณได้ มาก หรือ น้อยเกินไป ดังนั้นจึงควรรักษาระดับน้ำหนัก และค่าดัชนีความหนาของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับค่าค่าดัชนีมวลร่างกาย สำหรับชาวเอเชีย พบว่าประเทศอากาศร้อน ความอ้วนจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงถือค่าประมาณ 18-23 กก./ตารางเมตร เป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับชาวเมืองร้อน การประเมินค่าดัชนีมวลกายนั้น จะต้องคำนึงถึงตัวแปรต่าง ๆ ด้วย ดังเช่นมวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน เพราะฉะนั้นดัชนีมวลร่างกายข้างต้นจะไม่สามารถนำไปใช้ได้กับผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก
ข้อระวัง ในการคำนวณหาค่าดัชนีมวลร่างกาย BMI [body mass index] จะใช้ประเมินปริมาณไขมันในผู้ที่มีกล้ามเนื้อมากๆไม่ได้ เช่น นักกีฬา นักเพาะกาย ที่อาจจะมีน้ำหนักมากเกิน 100 กิโลกรัมแต่ไม่จัดอยู่ในขั้นอ้วนหรืออันตรายมาก และใช้ประเมินในผู้ที่กล้ามเนื้อลีบจากสูงอายุไม่ได้ สำหรับคนอ้วนที่ยังไม่มีอาการของโรคต่างๆ ถือเป็นโอกาสดีที่ท่านยังมีเวลาแก้ตัว รีบควบคุมสภาพของท่านให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้กับปกติให้มากที่สุดก่อนที่จะมีการแสดงอาการของโรคต่างๆเกิดขึ้น
การรับประทานอาหารมากๆและไม่ถูกสุขลักษณะแล้วทำให้มีค่าดัชนีมวลกายสูงๆ จะทำให้ต้องมาเสียโอกาสต่างๆไม่ว่าจะเป็น การเข้าทำงาน การเสียบุคลิกภาพ และต้องคอยจ่ายยาเพื่อรักษาอาการของโรคที่ตามมา การลดการน้ำหนักที่มากเกินไปโดยการหันมาสนใจดูแลสุขภาพเราเอง จะทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเหมือนการรักษา อีกทั้งยังได้สุขภาพที่สมบูรณ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในบั้นปลายอีกด้วย
สำหรับท่านที่มีเกณฑ์ดัชนีมวลกายต่ำกว่ามาตรฐาน คงต้องมาลองสำรวจหาความผิดปกติของระบบอาหารและการทานอาหารของเรา หรือการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เราเบื่ออาหาร ทานไม่ได้ หรือใช้พลังงานมากกว่าการได้รับสารอาหารเข้าไป การปล่อยสภาพร่างกายให้ผอมมากและนานเกินไปก็มีผลร้ายต่อร่างกายเราเช่นกัน ฉะนั้นจึงควรรีบหาสาเหตุและแก้ไขที่ต้นเหตุ แล้วสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ดีก็จะกลับมาเป็นของคุณครับ
----------------------------------------
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย อ.กั้ม ใน ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ
คำสำคัญ (Tags)#รูปร่างดี#bmi [body mass index]#การคำนวณดัชนีมวลกาย
หมายเลขบันทึก: 220425, เขียน: 02 Nov 2008 @ 23:44 (), แก้ไข: 06 Sep 2013 @ 19:48 (), สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ, ความเห็น: 1131, อ่าน: คลิก
กินอาหารเพิ่ม "คอลลาเจน"
พออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ผิวพรรณก็เริ่มเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอย ตีนกา อย่างชัดเจน ดังนั้นคนที่รักสวยรักงาม จึงพยายามสรรหาสารพัดวิธีเพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้คงความเต่งตึงอยู่เสมอ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า คอลลาเจนเปรียบเสมือนโครงกระดูกของผิว พออายุมากขึ้น คอลลาเจนมักจะหายไป ทำให้เกิดริ้วรอย หรือตีนกาความจริงคนเราไม่จำเป็นต้องไปกินคอลลาเจนที่เป็นขวด หรือเป็นเม็ด ซึ่งมีราคาแพงก็ได้ เพราะกินเข้าไปแล้ว ก็โดนน้ำย่อยทำการย่อย หลังจากนั้นก็จะถ่ายออกมากลายเป็นปัสสาวะที่แสนแพง น่าเสียดายเปล่า ๆ
วิธีป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจน ง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตัวการของความแก่
คนที่ไม่อยากแก่เร็วอย่ากินแป้งและน้ำตาลเยอะ หลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะจะทำให้คอลลาเจนรวน จับกันสะเปะสะปะ แทนที่จะยืดหยุ่นก็เป็นเสมือนยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เปราะและเหี่ยวง่าย ที่สำคัญควรรับประทานอาหารเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลากระเบน กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือ พบบริเวณตาปลา มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้น ๆ ใส ๆ หรือจะเอากระดูกอ่อนไก่ และหมูมาต้มน้ำซุปก็จะได้คอลลาเจนเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเวลาต้มขาหมู หรือต้มกระดูกหมู ข้น ๆ พอทิ้งไว้นาน ๆ จะกลายเป็นวุ้น นั่นแหละคือคอลลาเจน
วิธีสังเกตว่าอันไหนไขมันอันไหนคอลลาเจน คือ ไขมันมักจะลอยอยู่ข้างบน ส่วนคอลลาเจนจะจมอยู่ข้างล่างเป็นวุ้นใส ๆ ถ้ากลัว ไม่กล้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ ก็ยังมีคอลลาเจนจากพืชผัก ผลไม้ เช่น สาหร่ายทะเล เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง เห็ดหูหนู หัวบุก ถั่วเหลือง แตงกวา ขึ้น ฉ่าย มะกอก ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์
ทั้งนี้คอลลาเจนที่ได้จากธรรมชาติจะสามารถดูดซึมได้ดี แต่ต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ดังนั้นท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ถ้าเรากินคอลลาเจนเข้าไปเพียว ๆ โดยไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีตามเข้าไปด้วย
คอลลาเจนจะถูกน้ำย่อยสับ ๆๆๆ กลายเป็นกากออกมาหมด ถ้ากินเข้าไป 100 อาจจะเหลือแค่ 10 เพราะฉะนั้นถ้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ หรือจากอาหารเสริม ที่ไม่มีวิตามินซี ก็ควรกินวิตามินซีร่วมด้วย เช่น กินผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือกินผักอย่างกระหล่ำปลีก็ได้ ส่วนผลไม้มีวิตามินซีอยู่แล้ว ก็จะช่วยดึงคอลลาเจนตัวมันเองเข้าไปด้วย