ที่มาของคำไทย สุภาษิตไทยและ ชื่อต่าง ๆ และ อีกมากมาย 5


รู้ไว้ใช่ว่า

ที่มาของสำนวน "น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย"
ที่มาของสำนวน "น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย" ครับ เลยนำเอามาเล่าให้ฟัง ----"น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย" นั้น ตามพจนานุกรมหมายถึงการใช้คำพูดที่ตรงๆแรงๆ แต่จริงใจ ย่อมส่งผลดีกว่าการใช้คำพูดไพเราะ แต่มีพิษภัย
ที่มาของสำนวนนี้มาจาก ในสมัยก่อนคนมักจะชอบสร้างบ้านอยู่ริมน้ำ เพราะสมัยก่อนการสัญจรส่วนใหญ่จะใช้การสัญจรทางน้ำ และทุกๆ บ้านจะมีท่าน้ำไว้จอดเรือเป็นของตัวเอง และที่ข้างๆ ท่าน้ำนั้นหลายๆ บ้านก็จะปลูกผักบุ้งไว้เป็นแพๆ ด้วย
ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำนั้นมักจะชอบว่ายอยู่ใต้แพผักบุ้ง เพราะน้ำที่อยู่ใต้แพผักบุ้งนั้นมันเย็น เพราะแสงแดดส่องลงไปใต้น้ำไม่ถึง พอเวลาคนมาเก็บผักบุ้งก็จะเจอปลาที่อยู่ใต้แพผักด้วย แล้วปลาพวกนั้นก็จะกลายเป็นอาหารของคนไป ส่วนปลาที่ว่ายอยู่ที่น้ำร้อน (ทีนอกแพผักที่แดดส่องถึงใต้น้ำ) ก็จะมีโอกาสรอดมากกว่า ซึ่งนั่นก็คือที่มาของสำนวนดังกล่าวนั่นเอง

ทำไมเรียก ล้อแม็ก ... ?

อดีต กะทะล้อ ถูกผลิตขึ้นมาด้วยวัสดุที่ทำจาก แม็กนิเซียม (Magnisium) ด้วยคุณสมบัติหลักคือน้ำหนักที่เบา ระบายความร้อนได้ดี รูปแบบสวยงาม จึงนำมาใช้กับรถที่ต้องการทำความเร็ว หรือรถแข่งนั่นเอง แต่จากข้อด้อยในส่วนของต้นทุนที่ราคาสูง และ แม็กนิเซียม มีการสึกกร่อนได้ง่ายจึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ในท้องตลาด
จึงได้มีการเสาะหาวัสดุมาทดแทนที่ราคาไม่สูง แต่ยังคงคุณสมบัติที่ใกล้เคียง นั่นก็คือ อลูมิเนียม อัลลอย (Aluminium Alloy ) ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่บุคคลทั่วไปยังคงเรียกติดปากว่า ล้อแม็ก (มาจากแม็กนิเซียม) กันอยู่ตลอดไป

 

ภาษาจีน 3 คำ ฮก ลก ซิ่ว แปลว่าอะไร

ฮก เทพแห่งบุญวาสนาและบารมี เพียบพร้อมด้วยบุตร หลาน ลักษณะชายวัยกลางคน หน้าตาอิ่มเอิมอุ้มเด็ก
ลก เทพแห่งลาภยศและความมั่นคั่งด้วยทรัพย์ ลักษณะชายวัย กลางคน สูงใหญ่ สง่างามแต่งกายด้วยเครื่องยศสูงสุด
ซิ่ว เทพแห่งอายุยืนยาว ลักษณะชายวัยชรามีหนวดเครายาว หน้าตาอิ่มเอิมยิ้มแย้มร่างกายอันแข็งแรงสมบูรณ์

 



VTEC คืออะไร มีการทำงานอย่างไร ?


VTEC คือระบบการทำงานของเครื่องยนต์แบบหนึ่ง ระบบ VTEC มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "Variable Vlave timing/Lift Electronic Control System" เป็นลิขสิทธิ์ของ HONDA CAR

ปัจจุบัน ระบบ VTEC มีอยู่ 3 แบบ คือ

1.DOHC VTEC ลักษณะการทำงานของมันจะมีเพลาราวลิ้นคู่ ใช้วาล์วไอดีและไอเสียอย่างละ 2 ตัวต่อหนึ่งสูบ ตัววาล์วจะทำงานโดยรับแรงกดมาจากชุดกระเดื่อง
กดวาล์ว ในจังหวะที่เครื่องยนต์ทำงานในรอบต่ำ การทำงานของวาล์วทั้ง 4 ตัวนี้จะทำงานตามลูกเบี้ยวของเพลาราวลิ้นตัวรอบต่ำ ให้จังหวะ "Timing" เปิด/ปิด วาล์ว
ในระดับปกติ แต่เมื่อใช้งานเครื่องยนต์ถึงความเร็วรอบสูงขึ้น ระบบก็จะเปลี่ยนมาใช้ลูกเบี้ยวตัวองศาสูงมาควบคุมการทำงานของวาล์วแทน เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงาน
ของเครื่องยนต์ที่รอบสูง ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ประสิทธิ์ภาพสูง ในช่วงความเร็วรอบสูงเพราะการทำงานของระบบ VTEC จะปรับตั้งทั้งองศา การทำงานของ
วาล์วและลิฟท์ (ระดับความสูงในการเปิดวาล์ว) ให้มากขึ้นด้วยซึ่งจะให้ผลดีทั้งในการบรรจุอากาศเข้าสู้ห้องเผาใหม้และคายไอเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนการควบคุมการทำงานใการเปลี่ยนจังหวะการเปิดวาล์วจะกระทำโดยอาศัยการเคลื่อนที่ของลูกสูบไฮครอลิค เล็ก ๆ ติดต่อเชื่อม การทำงานของกระเดื่องวาล์วในแต่
ละชุด โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ECU-Electronic Control Unit) จะจับการเปลี่ยนแปลงของรอบความเร็วของเครื่องยนต์ และรับรู้สภาวะของเครื่องยนต์ เช่น ความเร็ว อุณหภูมิของน้ำหล่อเย็น ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกไปที่ ECU เพื่อสั่งการทำงานจากฐานข้อมูลที่ได้รับอีกทีหนึ่ง

2.SOHC VTEC เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 วาล์วต่อสูบเหมือนเดิมโดยแบ่งเป็นไอดี 2ไอเสีย 2 แต่ที่เพลาราวลิ้นแท่งเดียวกันนั้นจะมีลูกเบี้ยวอยู่ในตัว 2 ชุด ชุดหนึ่ง
สำหรับการทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงรอบการทำงานต่ำ ๆ ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นองศาและลิฟท์สำหรับในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง การทำงานจะใช้กระเดื่องกดวาล์วเป็นตัว
ควบคุมการทำงานของวาล์ว การเปลี่ยนการทำงานของลูกเบี้ยวหนึ่งไปอีกลูกเบี้ยวหนึ่ง จะขึ้นอยู่กับความเร็วแต่เมื่อความเร็วลดลง ชุดกระเดื่องก็จะถูกสั่งงานให้กลับมาใช้
ลูกเบี้ยวเดิมที่เคยใช้ในรอบต่ำเพื่อเน้นความประหยัด ส่วนการทำงานของลูกเบี้ยวไปมาเพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วรอบนั้นก็เหมือนกับระบบ DOHC VTEC ที่ใช้ลูกสูบ
ไฮดรอลิกทำงาน โดยอาศัยแรงดันจากน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ไปติดต่อการทำงานของกระเดื่อง ตามคำสั่งจากกล่อง ECU จากข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่องได้รับ
3.VTEC-E เป็นเครื่องยนต์ 4 วาล์วต่อสูบใช้เพลาราวลิ้นเพียงตัวเดียวเป็นตัวควบคุมการทำงานของวาล์วทั้ง 4 ตัว ลักษณะของระบบแบบง่าย ๆ คือในช่วงรอบการ
ทำงานต่ำ ๆ จะเป็น วาล์วไอดีไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งออกแบบให้ไอดีหมุนวนอย่างรุนแรง แต่เป็นระเบียบทำให้อัตราส่วนผสมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไหลเข้าสู่กระบอกสูบต่ำสามารถนำไป
เผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและหมดจดจน กระทั่งผู้ขับใช้รอบสูง โดยการเรียกอัตราเร่งของเครื่องยนต์ ลูกสูบไฮดรอลิกที่ชุดกระเดื่องวาล์วจะเคลื่อนที่ต่อการทำงาน
ของกระเดื่องวาล์วให้ควบคุมให้วาล์วไอดีเปิดทั้ง 2 ตัว โดยการควบคุมจะมาจากกล่อง ECU เป็นตัวสั่งงานอาศัยข้อมูลจากความเร็วรอบของเครื่องยนต์ภาระของเครื่อง
ยนต์ และแรงสุญญากาศภายในท่อร่วมไอดีมาควบคุมลูกสูบไฮดรอลิกที่กระเดื่องกดวาล์ว



 

ที่มาของ "หม้อหุงข้าว" ::

หม้อหุงข้าว ประดิษฐ์ ขึ้นครั้งแรกในญี่ปุ่น เพื่อสนองความต้องการในประเทศ ในอดีตสตรีชาวญี่ปุ่นต้องหุงข้าวด้วยเตาถ่านซึ่งต้องเสียเวลามานั่งเฝ้า และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สตรีญี่ปุ่นต้องใช้แรงงานในการสงครามด้วย ความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการหุงข้าวจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นความสำเร็จในการประดิษฐ์หม้อหุงข้าวและเริ่มจำหน่ายขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1956 จึงได้รับการตอบรับจากชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้น

วิวัฒนาการหม้อหุงข้าวที่เก่าแก่ที่สุดเดิมมีชื่อเรียกว่า คามาโดะ มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโคฟุน ค.ศ. 300-710 คามาโดะเป็นเตาดินเสริมด้วยอิฐหักเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อความร้อน ใช้ฟืนในการหุงต้ม นอกจากใช้หุงข้าวแล้วก็ยังนำมาต้มซุปถั่ว แต่มีข้อเสียคือเคลื่อนย้ายไม่ได้

ต่อมาสมัยนารา-เฮอัน ราวปีค.ศ.710-794 หม้อหุงข้าวพัฒนามาเป็น โอกิ-คามาโดะ สร้างขึ้นให้ใช้งานกลางแจ้ง และมีภาชนะแยกส่วนสำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่าฮากามะ สำหรับหย่อนลงในหลุมที่ด้านล่างมีกองฟืนสำหรับหุงต้ม

ภายหลังมีการประดิษฐ์ภาชนะบรรจุข้าวสำหรับหุงโดยเฉพาะ ลักษณะทรงรีทำด้วยโลหะ เรียกว่า โอกามา เรียกหม้อหุงข้าวชนิดนี้ว่า มูชิ-คามาโดะ

ปลายยุคสมัยไตโช กลางทศวรรษ 1920 เริ่มมีการทดลองผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ปลายทศวรรษ 1940 บริษัทมิตซูบิชิ อิเลคทริก ผลิตหม้อหุงข้าวที่มีหม้อและขดลวดนำความร้อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงที่สุดกับหม้อหุงข้าวในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สะดวกสบายนัก เพราะคนหุงต้องนั่งเฝ้าเนื่องจากยังไม่มีระบบอัตโนมัติ ภายหลังบริษัทมัตซูชิตะและโซนี่ผลิตหม้อหุงข้าวออกจำหน่าย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

กระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม 1956 บริษัทโตชิบานำหม้อหุงข้าวอัตโนมัติออกวางจำหน่าย 700 ใบ ประสบความสำเร็จมาก โตชิบาเริ่มผลิตหม้อหุงข้าวอีก 200,000 ใบ ในเวลาเพียง 1 เดือน อีก 4 ปี ต่อมาหม้อหุงข้าวเริ่มแพร่หลายไปเกือบครึ่งประเทศ

สาเหตุที่บริษัทโตชิบาประสบความสำเร็จในครั้งนี้ เนื่องจากเวลาที่รวดเร็วและแม่นยำในการหุงข้าว ที่ใช้เวลาเพียง 20 นาที หม้อหุงข้าวในยุคนั้นมี 2 ชั้น ชั้นนอกสำหรับบรรจุน้ำ ส่วนชั้นในสำหรับบรรจุข้าว รูปแบบนี้ใช้อยู่นานถึง 9 ปี จึงเปลี่ยนมาเป็นหม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบัน

 

ที่มาของคำว่า "ถั่วดำ" และคำว่า "ตุ๋ย"

คำนี้ ฮิตติดตลาดมา ๖๐ กว่าปีแล้ว ต้นเรื่องมาจาก ชายผู้มีชื่อเล่นว่า "นายถั่วดำ" ทำวิตถารกับเด็ก ๆ ดังที่ปรากฏข่าวใน หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ฉบับประจำวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ มีรายละเอียดว่า

เมื่อวันที่ ๑๘ เดือนนี้ เวลา ๑๘ น ร.ต.ท. แสวง ทีปนาวิณ สารวัตร สถานีตำรวจป้อมปราบ ได้จับตัว นายการุณ ผาสุข หรือ นายถั่วดำ ตำบลตรอกถั่วงอก อำเภอป้อมปราบ มาไต่สวนยัง สถานีป้อมปราบ เหตุที่นายการุณ หรือถั่วดำ ถูกจับนั้น ความเดิมมีว่า ร.ต.ท. แสวง เห็นห้องแถวเช่า ซึ่งนายถั่วดำ เช่าอยู่ มีเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ถึง ๑๖ ปี อยู่ในห้องมากมาย จึงสงสัยว่า เด็กชายเหล่านั้น จะเป็นเด็กที่ ประพฤติในทางทุจริต ร.ต.ท.แสวง ได้ออกสืบสวนอยู่ ๒-๓ วัน จึงทราบว่า นายถั่วดำ เป็นคนไม่มีภรรยา และเป็นผู้ชักชวนเด็ก ๆ ผู้ชาย ไปดูภาพยนตร์บ้าง ซื้อของเล่นบ้าง ให้ขนมรับประทานบ้าง แล้วก็พากันมาที่ บ้านพัก ของนายถั่วดำ ก็กระทำการ สำเร็จความใคร่ แก่เด็กชาย ที่พามาเสียก่อน และต่อจากนั้นแล้ว ก็จะจัดเด็กเหล่านั้น รับสำเร็จความใคร่ กับแขกบ้าง เจ้าสัว และจีนบ้าบ๋าบ้าง พวกที่มา ต้องเสียเงินเป็นรางวัล ให้แก่นายถั่วดำ เยี่ยงหญิงโสเภณี

จากนั้นคำว่า "ถั่วดำ" ก็กลายมาเป็น ศัพท์เฉพาะ ที่รู้ทั่วกันว่า หมายถึง การเสพสม ทางทวารหนัก เมื่อต้นปี ๒๕๔๑ ก็มีข่าว ข้าราชการ ชื่อเล่นว่า "ตุ๋ย" ทำมิดีมิร้าย กับเด็กชาย หนังสือพิมพ์ก็ใช้คำ "ตุ๋ย" พาดหัวข่าว แทนความหมายดังว่า อยู่พักหนึ่ง คำนี้ จะได้รับความนิยมสู้ "ถั่วดำ" ได้หรือไม่ เราคงต้อง ติดตามกันต่อไป

 

 

 

 

ที่มาของ sandwich


อะไรอะไรก้อต้องมีที่มาที่ไป ก้อคิดดูละกันว่าขนาดเจ้า sandwich ที่ฮิตติดปากยังมีที่มาที่ไปเลย

sandwich เริ่มมีปรากฎขึ้นตั้งแต่ปี 1762 ที่ประเทศอังกฤษ เนื่องจาก Sir John Montagu หรือจะเรียกอีกอย่างก้อได้ว่า ท่านเคาต์แห่งแซนวิช

Sir John Montagu เนี่ยเป็นคนที่ติดงานสังสรรค์เล่นไพ่มาก เล่นอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวันไม่ยอมรามือ พ่อครัวหัวเห็ดของท่านเคนต์ก้อเลยปิ๊งไอเดียขึ้นมา

นำขนมปัง 2 ชิ้นมาประกบกันแล้วใส่ เนื้อสดเย็นเย็นนะ แร่เป็นชิ้นบางบาง แล้วก้อใส่ชีสไปด้วย จะได้กลืนสะดวกไม่ติดคอไง Sir John ก้อชอบใจมากเพราะพอทานแล้วก้อไม่ต้องลุกไปล้างมือด้วย ทั้งอิ่มแล้วก้อแถมยังไม่ต้องลุกไปล้างมือด้วย (อะไรจะขี้เกียจขนาดน้าน)

และนับตั้งแต่นั้นมา Sandwich ก้อเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

 

ที่มาของคำด่าทอ "ไอ้เหี้ย"

ในสมัยอดีต ชาวบ้านมักจะเลี้ยงไก่ไว้ในบริเวณบ้าน ตัวเหี้ยมักจะมาขโมยไก่ของชาวบ้านลากไปกินในน้ำ ทำให้เป็นสัตว์ที่ผู้คนเกลียดมาก เลยนำมาใช้เรียกคนไม่ดี ว่า "ไอ้เหี้ย" และกลายเป็นคำด่าทอมาจนปัจจุบัน อนึ่ง มีความเชื่อว่าถ้าเหี้ยขึ้นบ้านใคร บ้านนั้นจะมีแต่ความโชคร้าย จึงเปลี่ยนชื่อเรียกให้ฟังมีสิริมงคล โดยเรียกว่า " ตัวเงินตัวทอง " กล่าวกันว่า สำหรับการเมืองไทยในยุคเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น นักการเมืองเมื่อไม่ชอบหน้าใคร ก็มักจะนำเหี้ยนี้ไปปล่อยไว้บริเวณหน้ารัฐสภา
แหล่งอ้างอิง ที่มาของคำด่าทอ"ไอ้เหี้ย"

 

ต้นกำเนิดเพลง HIP~HOP

Hiphop นั้นเริ่มต้นที่ New York ในปี 70 โดย DJ ชาวอเมริกันชื่อ Kool Herc โดยเริ่มแรกนั้นเป็นแค่การตะโกนชื่อตัวเองออกมาเวลาเปิดเพลง ต่อมา ก็มีการ เพิ่มคำคล้องจองเข้าไปบ้าง สมัยนั้น ยังไม่เรียกวิธีนี้ว่า Rap แต่เรียกว่า eMCeeing DJ คนต่อมาที่มีอิทธิพลต่อก้าวแรกของHiphop คือ Afrika Bambaataa ที่เป็นมุสลิมผิวดำคนแรกที่เริ่มต้านการ Rap ปี1976 GrandMaster Flash ถูแผ่นเสียงถอยไปถอยมา ทำไห้เกิดการ Scatch Techinic ปี1979 เพลง rap เพลงแรกที่เป็นที่นิยมคือ Rapper’s Delightของวง Sug โดยเพลงนั้นเป็นการเอาดนตรีของเพลง Disco เพลง Good Time มาวนซ้ำๆ เนื้อหาของเพลง ก็เป็นการพูดถึงเรื่องราวสนุกๆทั่วไป ในยุค 80 Hiphop กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของคนอเมริกัน ปี 1986 เพลง (You Gotta)Fight fot Your Right(To Party) The Beastie Boysก็ติดอันดับ top 10 ของ US Billboard Chart และเพลง Walk This Way ของ Run-DMC ที่ร้องคู่กับ Aerosmitch เป็นการร่วมมือกันระหว่างดนตรี Rock และHiphopเป็นครั้งแรก Run-DMC จึงเป็นHiphop วงแรก ที่ได้ออกฉายทาง MTV ในที่สุดก็หมดยุคHiphopยุค80 และเข้าสู่Hiphop ยุค 90



พลาสเตอร์ยา (Band aid)


นายเอิร์ลและนางโจเซฟิน ดิกสัน (Earle and Josephine son) แต่งงานกันในปึค.ศ. 1920 เป็นสามีภรรยาคู่ใหม่อาศัยในเมืองนิว บรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา สามีทำงานอยู่บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันภรรยาเป็นแม่บ้านด้วยความเป็นแม่บ้านมือใหม่ ไม่ชำนาญการครัวโจเซฟินจึงถูกน้ำร้อนลวก มีดบาด ตะปูตำฯลฯ อยู่เป็นประจำ เอิร์ลต้องคอยทำแผลเล็กๆน้อยๆให้ภรรยาอยู่บ่อยๆ เขาจึงเกิดความคิดทำแผลแบบประหยัดเวลาและสะดวกในการใช้ ด้วยการนำผ้าก็อซมาวางบนเทปกาว เพื่อใช้ทำแผลให้ภรรยาโดยเฉพาะต่อมาเอิร์ลได้นำความคิดนี้ไปเสนอนายจ้าง ในปีค.ศ. 1921 บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจึงได้ผลิตแถบพันแผลแบบมีกาวขึ้นมา มีขนาดกว้าง 3 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว แต่ยังไม่ติดตลาดจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1924 บริษัทได้ปรับปรุงสินค้า สร้างเครื่องจักรขึ้นมาผลิตสินค้านี้โดยเฉพาะ และให้ชื่อว่า แบนด์-เอด” (band-aid) สินค้าก็ติดตลาดทันทีเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรสูงสุดให้กับบริษัทในปี ค.ศ. 1951 ได้มีการปรับรูปโฉมใหม่ให้กะทัดรัด ใช้ง่าย มีหลายขนาด คราวนี้ก็ใช้แพร่หลายไปทั่วโลก ปัจจุบันนี้พลาสเตอร์ยากลายเป็นแฟชั่น มีรูปการ์ตูนหลากหลายบนแผ่นพลาสเตอร์ยา ให้เลือกใช้เลือกสะสม เป็นของฝากกิ๋บเก๋ แม้ไม่มีแผลก็สามารถปิดได้

คำสำคัญ (Tags): #ความรู้
หมายเลขบันทึก: 218902เขียนเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 15:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 12:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เจ๋งอ่ะ ได้ความรู้มากมายเลย เพิ่งจะรู้หลาย ๆ อย่าง รู้สึกเหมือนตัวเองฉลาดขึ้นทันทีทันใด หุ ๆ ๆ

อะไรก็ไม่รู้เรื่อง

55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555

55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555

55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555+

ไอ้เหี้ย 555555555555555555555555 ชอบๆ :p

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท