ทิฏฐิวิสุทธินิทเทส
(พรรณนาเรื่องความหมดจดแห่งทิฏฐิ)
มูลฐานและโครงของวิสุทธิ
ในวิสุทธิ ๗ ท่านกล่าวว่า วิสุทธิ ๒ คือ สีลวิสุทธิ ความหมดจดผ่องแผ้วแห่งศีล และ จิตต
วิสุทธิ ความหมดจดผ่องแผ้วแห่งจิต เป็นมูลฐานของสุทธิ ส่วนวิสุทธิอีก ๕ เป็นโครง (สรีระ)
วิสุทธิ ๕ นั้นคือ
ทิฏฺฐิวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
ญาณทัสสนวิสุทธิ
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในลำดับต่อไป
วิสุทธิซึ่งเป็นมูลฐานทั้งสองประการ จะขอพักไว้ก่อนจะกล่าวแต่เพียงหัวข้อ ทิฏฐิวิสุทธิ
-->> วิธีบำเพ็ญทิฏฐิวิสุทธิ
ก่อนอื่นควรทราบก่อนว่า ทิฏฐิวิสุทธคืออะไร ? โดยคำจำกัดความ ทิฏฐิวิสุทธคือ ความเห็นอย่างถูกต้องถ่องแท้ซึ่งนามรูป ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
--->> ผู้ต้องการบำเพ็ญทิฏฐิวิสุทธินี้ เมื่อออกจากฌานที่เป็นรูปาวจร หรืออรูปาวจรก็ตาม เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนะเสีย กำหนดองค์ฌานและธรรมซึ่งสัมปยุตด้วยองค์ฌานนั้นว่าเป็นนาม เพราะมีความหมายว่าเอนไปบ่ายหน้าไปต่ออารมณ์
ต่อจากนั้นให้พิจารณาว่า นามนี้อาศัยอะไร ก็จะพบว่าอาศัยหทัยรูป เหมือนบุคคลพบงูในเรือนตนแล้วติดตามไปดูว่าที่อาศัยของมันอยู่ที่ไหน แล้วพิจารณาต่อไปว่า ภูตรูปเป็นที่อาศัยแห่งหทัยรูป และ อุปทายรูป อาศัยภูตรูป กำหนดพิจารณาว่ารูปทั้งหมดนี้มีความแตกดับทำลายไปในที่สุด
ต่อจากนั้นพิจารณาธาตุ ๔ ดังที่กล่าวแล้วในเรื่อง จตุธาตุววัฏฐาน (คือการกำหนดธาตุ) ธาตุ ๑๘ มี จักขุธาตุเป็นต้น มีมโนวิญญาณธาตุเป็นที่สุด มีอาทิว่า ก้อนเนื้อใดวิจิตรด้วยวงตาขาว แววตาดำแผ่ขยายไปในกระบอกตา พัวพันรึงรัดด้วยเส้นเอ็น ซึ่งชาวโลกยึดมั่นกันว่า “จักษุ” ผู้บำเพ็ญเพียรพิจารณาก้อนเนื้อนั้นเป็นเพียงธาตุไม่ยึดมั่นโดยสุภนิมิต คือไม่สำคัญ
หมายว่างาม
ต่อจากนั้นพึงพิจารณาด้วยสามารถด้วยสามารถแห่งอายตนะ ๑๒ มี จักขุอายตนะเป็นต้น มีมนายตนะเป็นที่สุดโดยทำนองเดียวกันต่อไปพึงพิจารณาขันธ์ ๕ คือ
๑ รูปขันธ์ อันประกอบด้วยธาตุ ๔ ประสาท ๕ และกำหนดรูปอีก ๑๐ คือ
- กายวิญญัติ = การไหวกาย
- วจีวิญญัติ = การพูด
- อากาสธาตุ = ช่องว่าง
- รุปสฺส ลหุตา = ความเบาแห่งรูป
- มุทุตา = ความอ่อนสลวย
- กัมมัญญตา = ความควรแก่การงาน
- อุปจโย = ความก่อ
- สันตติ = ความสือต่อ
- ชรตา = ความทรุดโทรม
- อนิจจตา = ความไม่เที่ยง
รูปดังกล่าวมานี้เรียกว่ารูปขันธ์
๒. เวทนาขันธ์ หมายถึง เวทนาซึ่งเกิดกับโลกิยจิต ๘๑ ดวง
๓. สัญญาขันธ์ คือ สัญญาซึ่งสัมปยุตด้วยเวทนานั้น
๔. สังขารขันธ์ หมายถึง สังขารซึ่งสัมปยุตด้วยสัญญานั้น
๕. วิญญาณขันธ์ คือ วิญญาณซึ่งสัมปยุตด้วย สังขารนั้น
ท่านกล่าวว่า ผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อพิจารณานามรูปอยู่โดยลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ ถ้านามรูปปรากฏไม่แจ่มแจ้ง ยังไม่เป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิวิสุทธิ พระโยคีก็ไม่ควรละทิ้งความพยายาม ควรทำความพยายามต่อไปเปรียบเหมือนบุคคลมองดูหน้าของตนในแผ่นโลหะที่ยังขัดไม่ดี ถ้ายังมองไม่เห็นก็ไม่ควรทิ้งโลหะนั้นเสีย ควรขัดต่อไปเมื่อแผ่นโลหะนั้นใสแล้ว ก็จะสามารถมองหน้าของตนได้ชัดเจน
--->> ยถาภูตญานทัสสนะ
เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรพิจารณารูปอยู่บ่อย ๆ โดยความเป็นธาตุเป็นต้น ความสำคัญหมายว่าสัตว์ว่าบุคคลย่อมถึงความเสื่อมสูญ
อันที่จริงสัตว์และบุคคลนั้นไม่มี ที่เรียกว่าสัตว์ บ้าง บุคคลบ้าง ก็เพราะสมมติโวหารของโลก โดยที่แท้มีแต่นามรูปเท่านั้น
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อสัมภาระต่าง ๆ ประกอบพร้อมกันเข้า เสียงเรียกว่ารถก็มีขึ้น เมื่อขันธ์มีอยู่ก็สมมติเรียกว่าสัตว์ว่าบุคคล อันที่แท้ทุกข์อย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์อย่างเดียวเท่านั้นตั้งอยู่ และทุกข์อย่างเดียวเท่านั้นดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
--->> รวมความว่า เมื่อมีการรวมกันอย่างหนึ่ง และเมื่อยังมีอุปทานขันธ์อยู่อีกอย่างหนึ่ง จึงทำให้คนหลงผิดว่าคนสัตว์ แต่อันที่แท้มีแต่นามรูปเท่านั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ผู้ใดยังยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ผู้นั้นชื่อว่ายึดมั่นในทุกข์ ความเห็นอันบริสุทธิ์ดังกล่าวนี้ชื่อว่าทิฏฐิวิสุทธิ
ความเห็นซึ่งอาจตกไปในทิฏฐิ ๒
บุคคลบางพวกมีความเห็นว่ารูปนามเที่ยงยั่งยืนยึดมั่นในความเป็นสัตว์และบุคคล ผู้เช่นนั้นย่อมตกไปใน สัสสตทิฏฐิ = ความเห็นว่าเที่ยง
ส่วนบุคคลบางพวกเห็นว่าสัตว์บุคคลหลังจากมรณกรรมแล้วย่อมขาดสูญบุคคลเช่นนั้น ย่อมตกลงไปใน อุจเฉททิฏฐิ = ความเห็นว่าขาดสูญซึ่งทั้งสองนี้ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น คือ เห็นว่านามรูปเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นอนัตตา แล้วเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดและพยายามดับนามรูปนั้นเสีย
พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อดับภพ เพื่อความไม่บังเกิดในภพใหม่อยู่ สัตว์ผู้ติดในภพ ยึดมั่นในภพ ย่อมไม่พอใจไม่เลื่อมใสเห็นเป็นความว่างเปล่า ความสูญเสียเพราะจิตใจของเขาแล่นไปในภพ มีความกำหนัดในภพ แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ภพแม้หน่อยหนึ่งพระองค์ไม่ทรงสรรเสริญเลยเหมือนอุจจาระหรือปัสสาวะ แม้จะมีน้อยก็มีกลิ่นเหม็นอยู่นั่นเอง
อุปมาเรื่องนามรูป
๑. นามรูปเปรียบเทียบเหมือนหุ่น เพราะหุ่นนั้นโดยลำพังตนเองแล้วเคลื่อนไหวไม่ได้ เป็นของว่างเปล่าไร้ชีพแต่เพราะประกอบด้วยไม้และสายชัก รวมทั้งมีคนชักหุ่นกระบอกจึงดูเป็นเคลื่อนไหวมีท่าทาง นามรูปก็เหมือนกันปรากฏเป็นภาพยืนบ้าง เดินบ้าง ก็เพราะอาศัยการคุมกันเข้า
๒. นามรูป เปรียบเหมือนไม้อ้อสองอันซึ่งยันกันและกันไว้ เมื่ออันหนึ่งล้ม อีกอันหนึ่งก็ทรงตัวอยู่ไม่ได้
๓. นามรูปเปรียบเหมือนกลอง และเสียงกลองเมื่อมีบุคคลเอาไม้ตีกลอง อาศัยหน้ากลองและไม้จึงมีเสียงปรากฏขึ้น ความจริงกลองก็อันหนึ่ง เสียงก็อันหนึ่ง
กลองกับเสียงมิได้ปะปนกัน เมื่ออาศัยรูป คือ วัตถุทวาร และอารมณ์ นามจึงเป็นไปได้ รูปก็อันหนึ่ง นามก็อันหนึ่ง
-->> อนึ่ง นามรูปต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เหมือนคนตาบอดกับคนง่อยพากันเดินทาง คนตาบอดมีเท้าที่จะเดินแต่ไม่มีตาสำหรับดูทิศทาง ส่วนคนง่อยมีตาดูทิศทางแต่ไม่มีเท้าเดิน หรือมีเท้าก็เหมือนไม่มี เพราะไม่อาจเดินได้ คนบอดจึงยกคนง่อยขึ้นบ่าคอยบอกทิศทางให้ทั้งสองอาศัยกันเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ฉันใดนามและรูปก็อาศัยซึ่งกันฉันนั้น
-->> การเห็นนามรูปตามเป็นจริง ละสัตตสัญญาเสียตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้ไม่งมงาย เรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิ ด้วยประการฉะนี้
ไม่มีความเห็น