หนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับเยาวชน


เปเป้ & สมี

 

               “โฮ่ง   โฮ่ง   โฮ่ง   โฮ่ง   โฮ่ง   โฮ่ง

                เมี้ยว  เมี้ยว  เมี้ยว

                พลั้ก 

                เอ๋ง  เอ๋ง  เอ๋ง

                โฮ่ง   โฮ่ง   เมี้ยว  เมี้ยว  โฮ่ง   โฮ่ง   โฮ่ง   เมี้ยว  โฮ่ง โฮ่ง  

                นุต  ไปดูซิ  หมา แมว  มันเห่ามันหอน  มันร้องทำไม     กันนัก กันหนา หนวกหูจะตาย  นี่ลุงเหวี่ยงคงรำคาญ  เขวี้ยงท่อนไม้มาแล้วมันยังไม่ยอมหยุด  เสียงแม่บ่น

                หมามันก็เห่าใบตองแห้ง สิแม่  พี่นันท์ว่า

                แม่  เต่า  เต่า  มาดูกันเร็วๆ  ตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย  ไอ้เป้ มันเห่าเต่าน่ะ  นุตร้องเรียกแม่ด้วยความตื่นเต้น

                ไอ้เป้นะไอ้เป้  ไม่เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์  แลกข้าวที่ขุนอยู่ทุกวัน  มีแต่จะสร้างความรำคาญ  เป็นภาระให้ตลอดเวลา  แม่ยังบ่นพึมพำไม่หยุด

                น้ำท่วมหนนี้  ไอ้เป้ หรือเปเป้ก็เป็นภาระให้พ่อแม่ต้อง เดือดร้อน  รวมถึงสมี แมวเหมียวที่เคยอยู่สุขสบาย เพราะทั้งสองเคย เดินเหินได้ทั่วทั้งในบ้าน  นอกบ้าน  โรงรถ  ตามถนนหนทาง  จนกระทั่งในสวน  บางวันที่ไม่มีอะไรให้กิน  ก็ยังพอหานก หนู กินเองได้

                เปเป้  เป็นหมาพันธุ์ไทยสีน้ำตาลที่พ่ออาสาเลี้ยงไว้  ในเวลานี้มันน่าสงสารที่สุด  เพราะ มันมีพื้นที่ให้อยู่เพียงบนร้านที่พ่อยกสูงไว้เพื่อเก็บเศษไม้ หรือของจิปาถะที่ไม่ได้ใช้ในยามปกติ  เวลาจะเอาข้าวให้กินพ่อต้องลุยน้ำ  หรือให้ลูกๆ พายเรือไปให้  ซึ่งก็ทุลักทุเลพอสมควร  เพราะกว่าจะจอดเรือได้ก็ยากอยู่แล้ว  แถมต้องคอยไล่ไม่ให้มันกระโดดลงมาในเรือ

                ชื่อ เปเป้  เป็นชื่อที่พี่นันท์ตั้งให้ เพราะขามันเป๋  แต่ก่อน เราเรียกมันว่า ไอ้เป๋แต่พี่นันท์บอกว่า การเรียกชื่อคนอื่นด้วยจุดเด่นมันเหมือนตอกย้ำปมในใจ ถ้าเกิดมีคนมาเรียกพี่นันท์ว่า หน้าตาดี เก่ง ฉลาด พี่นันท์ก็คง... พี่นันท์พูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงโห่ไล่มาซะก่อน เลยไม่ทันรู้เหมือนกันว่าพี่นันท์จะรู้สึกยังไง แต่นุตรู้สึกว่า พี่นันท์ค่อนข้างจะหลงตัวเองเล็กน้อย หลังจากนั้นพวกเราก็พยายามหาชื่อมาตั้งให้เปเป้  ว่า น้ำตาลบ้าง โอวัลตินบ้าง ตามประสาหมา แต่คนนู้นก็ไม่ชอบ คนนี้ก็ไม่ชอบ ไม่รู้ว่าตั้งชื่อให้คนหรือหมา สุดท้าย พี่นันท์เลยบอกว่า ชื่อเปเป้ล่ะกัน ดูเป็นฝรั่งดี แม่ถามพี่นันท์ว่า แล้วเปเป้มาจากอะไร พี่นันก็ตอบแม่ว่า ก็มาจากไอ้เป๋แหละแม่ แค่เรียกให้มันดูดีหน่อยแค่นั้นเอง

                  เปเป้เป็นหมาที่น่าสงสารมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  มันขี้กลัว  แม้แต่ลูกหมาตัวเล็กๆ ของพี่เมที่อยู่ข้างบ้านมันก็กลัว  มันจะวิ่งหัวซุกหัวซุนเมื่อได้ยินเสียงรถทุกชนิด  มันมีพี่น้อง ๗  ตัว  ใครก็ไม่รู้เอาแม่มันมาปล่อยทิ้งไว้ที่ถนน  แม่มันวิ่งเข้ามาในบ้านลุงเหวี่ยง  ลุงเหวี่ยงก็เอาหินบ้าง  ท่อนไม้บ้าง ขว้าง  แม่มันก็หนีมาบ้านนุต  นุตเลยแอบเอาข้าวให้กิน  นับแต่นั้นมาแม่ของมันก็เลยมีสัมพันธไมตรีกับนุต   เดือดร้อนพ่อกับแม่ เห็นหน้ามันทีไร เป็นไล่ตะเพิด  แต่มันก็ไม่ยอมไปไหน  จนกระทั่งมันก็ฉลองคุณโดยการคลอดลูกตัวเล็ก ๆ ให้อีก    ตัว ในโรงรถนั่นเอง

                พวกเรา ตื่นเต้นที่ได้เห็นลูกหมาน่ารัก ตัวอ้วนกลม  จึงแอบมาดูอยู่บ่อยๆ  แถมนุตยังไปคุยอวดพี่ก้อง  น้องโก้  น้องไก๊  ทุกคนก็แวะเวียนมาดู  ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่  วันรุ่งขึ้นพวกเราจึงไม่ได้เห็นลูกหมาแม้แต่ตัวเดียว  แม่บอกว่ามันคงโดนตัวเงินตัวทองคาบไปกินหมดแล้ว  แม่เลยจับแม่หมาขึ้นรถเอาไปปล่อยไว้ที่วัดที่อยู่ไกลพอสมควร 

                พอแม่ขับรถกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินเสียงลูกหมาร้อง  ครั้งแรกก็นึกว่าประสาทหลอน  แต่เสียงก็ไม่หยุด  แม่หน้าเสีย สั่งให้ลูกๆ  ตามหาต้นเสียงกันจ้าละหวั่น  แล้วในที่สุดแม่ก็ไปพบลูกหมาทั้ง ๗ ตัว อยู่ในโพรงที่กองหญ้าแห้งๆ  แม่หน้าจ๋อยลงไปอีก คงนึกถึงตัวเองถ้าโดนพรากลูก พรากแม่จะเป็นยังไง

                แม่ไม่รอช้า ขับรถไปที่วัดนั้นอีกครั้ง ตามหาแม่หมา และนับว่าโชคดี  หาอยู่ไม่นานก็เจอ  แม่พามันกลับมา  ท่าทางมันดีใจ พอลงจากรถได้มันก็วิ่งไปที่กองหญ้าทันที

                พอลูกๆ ของมันเดินได้  และค่อนข้างซน  มันก็พาลูกๆ เข้ามาอาศัยในโรงรถ  วันหนึ่งขณะที่พ่อถอยรถออก ลูกหมาทั้ง ๗ ก็มาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ พวกเราก็พยายามไล่แล้วไล่อีก  แต่นับว่าเป็นโชคร้าย  หรืออาจจะเป็นโชคดีของเจ้าเปเป้  มันวิ่งเข้าไปในจังหวะที่รถเคลื่อนพอดี  ล้อทับขา  มันร้องเอ๋ง  เอ๋ง  เอ๋ง  ไม่ยอมหยุด  พ่อบอกว่า       ขืนเอาไว้อย่างนี้พ่อคงได้ทำบาปอีกแน่ๆ

                ตอนเย็นกลับจากงาน  พ่อเลยชวนแม่ พี่นิธและนุต จับลูกหมา  ๖ ตัว ใส่กระสอบ  จับแม่หมาขึ้นรถ เอาไปฝากให้แม่ชีที่วัดใกล้ๆ บ้านช่วยเลี้ยง  โดยทำบุญเป็นค่าอาหาร และค่าเลี้ยงดูไว้ด้วย  ส่วนเจ้าเปเป้  พ่อบอกว่า

                มันบาดเจ็บ  ไปอยู่วัดก็จะสู้หมาที่แข็งแรงไม่ได้  เดี๋ยวมันจะถูกรังแก  เจ้าเปเป้จึงเป็นสมาชิกที่น่าสงสารของเราตลอดมา

                ส่วน สมี  เป็นแมวสามสี  ขนมันมีสี ขาว เหลือง และ

ดำ  ตอนแรกที่สมีมาที่บ้านยังไม่มีชื่อ พี่นันท์เป็นคนเรียกมันว่า สามสี สามสี พอหลัง ๆ นุตคิดว่าพี่นันท์คงขี้เกียจ สามสี สามสีเลยเหลือชื่อแค่สั้นๆ ว่า สมี (สะ-หมี)  หลังจากนั้นทุกคนในบ้านก็เรียกแมวสามสีตัวนี้ว่า สมี ตามพี่นันท์คนขี้เกียจไปโดยปริยาย

                ตอนที่นุตเห็นสมีครั้งแรก  มันเดินอยู่บนโอ่งน้ำฝนหลังบ้าน  ตัวมันใหญ่มาก  นุตเรียกพี่นันท์มาดู  พี่นันท์รีบเอาปลาทูให้มันกิน  มันคงหิว กินแป๊บเดียวหมดตัว  และนับแต่นั้นมามันก็อยู่บนหลังคาบ้านของพวกเรา

                แม่เดือดร้อนอีก  เพราะแม่กลัวว่าแมวจะมาคลอดลูก และถ่ายไว้บนหลังคา เนื่องจากบ้านเรายังรองน้ำฝนกิน  พี่นันท์ก็เลยให้คำแนะนำว่า 

                ถ้างั้นก็เอามาเลี้ยงในบ้านสิแม่ 

                แถมให้คำรับรองอีกว่า  ที่รู้มาน่ะแม่ แมวสามสีส่วนใหญ่เป็นแมวตัวผู้  ถ้าเป็นแมวตัวเมียก็จะเป็นหมัน  มันมีลูกไม่ได้ชัวร์ๆ  เลี้ยงไว้นะแม่

                แต่ในที่สุด เจ้าสมี ก็ท้องและคลอดลูกอยู่บนเตียง พี่นิธอีก    จนได้  ทุกคนในบ้านต่างโยนความผิดให้พี่นันท์  แม่ถึงกับทนไม่ได้  สงสัยในความรู้ที่ลูกบอก จะผิดได้ยังไง  ก็พี่นันท์เรียนเก่งที่สุดในบ้านนี่นา

                แม่ให้พี่ณัฐค้นหาเรื่องแมวสามสีทางอินเตอร์เน็ต  จึงได้ความจริงจากเว็บไซต์ http://physio.vet.ku.ac.th/article/catcolor.pdf  ว่า 

                แมวสามสีโดยทั่วไปเป็นเพศเมีย แต่พบเป็นเพศผู้ได้บางครั้ง โดยเฉพาะกรณีที่แมวตัวนั้นมีความผิดปกติของโครโมโซมเพศ เช่น โครโมโซมเพศเป็นแบบ XXY (มีโครโมโซม X เพิ่มมากกว่าปกติ) ที่เรียกว่า Klinefelter's syndrome ทำให้มีโครโมโซม X จำนวน ๒ ชิ้น ถ้ายีนบนโครโมโซม X ทั้งสอง มีอัลลีลแบบ O/o ด้วย ทำให้แมวเพศผู้นั้นมีลักษณะเป็นสามสีได้แม้ว่าการแสดงออกของลักษณะทางร่างกายอื่นเป็นไปในทิศทางของเพศผู้อันเป็นผลจากอิทธิพลของโครโมโซม Y อย่างไรก็ตาม แมวเพศผู้ที่มีลักษณะนี้พบได้น้อยมาก และส่วนใหญ่เป็นหมัน

                แม่เลยถึงบางอ้อ  และก็นึกได้ว่าพี่นันท์มักจะทำอะไรกลับๆ กันเสมอ  ตอนเล็กๆ เคยอ่าน  ปลายี่สก  เป็นปลาสี่ยก   อหิวาตกโรค  ก็เป็นโรคหิวตก  ใส่เสื้อยืด และ กางเกง  ก็จะกลับด้านหน้าเป็นด้านหลัง   ด้านหลังเป็นด้านหน้า  ส่วนรองเท้าไม่ต้องพูดถึง  กลับข้างซ้ายเป็นข้างขวา  ข้างขวาเป็นข้างซ้าย เป็นอย่างนี้ประจำ ซึ่งในเวลานี้พี่นันท์ก็บอกว่า  ที่ใส่รองเท้าสลับข้างไม่ใช่ใส่ผิด  แต่เพราะเป็นเทคนิคใส่แล้วมันแน่นดีต่างหาก

                ด้วยเหตุนี้บ้านเราเลยมีเจ้า เปเป้ และ สมี เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักมาให้ร่วมชะตากรรมตอนน้ำท่วมหนนี้ด้วยกัน

หมายเลขบันทึก: 215906เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 00:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท