หลักปฏิจจสมุปบาท : การตอบรับต่อหลักอนัตตา
เนื่องจากพุทธศาสนาได้ยืนยันว่า สรรพสิ่งว่างเปล่าจากตัวตน, คำตอบของพุทธศาสนาที่มีต่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง ก็คือ การดำรงอยู่ตามหลักปฏิจจสมุปบาทนี้. สรรพสิ่งดำรงอยู่ด้วยการอาศัยซึ่งกันและกัน, โดยการเป็นเหตุปัจจัยของกันและกันอย่างต่อเนื่องไม่มีขาดสาย โดยลักษณะเช่นนี้ การเกิดขึ้นเป็นเพียงการแปรเปลี่ยนอย่างหนึ่งของปัจจัย การเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการเคลื่อนไหว,และการแตกสลายก็เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพใหม่. การมีอยู่หรือไม่มีอยู่จึงไม่ใช่การยืนยันสรรพสิ่งที่ถูกต้อง
หลักปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นจุดคลี่คลายต่อปัญหาหลายประการที่เกิดขึ้นในระบบความสัมพันธ์และความเป็นไปของจักรวาล. อาจจำแนกประเด็นปัญหาต่าง ๆออกได้ดังนี้
ประการแรก ปฏิจจสมุปบาทจะให้คำตอบว่า สรรพสิ่งมีการรวมตัวกันอย่างไร. จักรวาลและสรรพสิ่งกำเนิด. เคลื่อนไหว และแตกสลายไปอย่างไร. เราได้เห็นมาแล้วว่า ได้มีการพยายามนำหลักการทางปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายกำเนิดของโลกและจักรวาล. แม้ว่าผลที่ปรากฏออกมาจะไม่น่าพึงพอใจมากนัก แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างมีค่ายิ่ง คือ พื้นฐานจากการยอมรับความเป็นเหตุและผล.
จริง ๆ แล้ว ภายใต้หลักปัจจยาการนี้ ทำให้แนวความคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับ เรื่องโลกและจักรวาลเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำตอบที่จะตอบได้. ลองพิจารณาว่า ถ้าหากสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์อย่างนี้ต่อกันในความเปลี่ยนแปลงอันยาวนาน เราไม่สามารถที่จะแสวงหาได้ว่าความสัมพันธ์นั้นมีมายาวนานแค่ไหน.ดังนั้น คำตอบที่ได้รับมาก็คือ ประวัติความเป็นมายาวนานเกินกว่าที่เราจะรู้ตามได้. พุทธศาสนาใช้ คำว่า “สังสารวัฏนี้มีที่มาเบื้องต้นและเบื้องปลายที่ใครผู้ไปตามอยู่ไม่สามารถรู้ได้” จริงอยู่ เราอาจใช้ความพยายามเพื่อจะรู้ความเป็นมาส่วนหนึ่งของจักรวาล แต่นั้นเป็นเพียงระยะสั้นมากในประวัติแห่งความสัมพันธ์ที่หาที่เริ่มต้นมิได้.
แม้ว่าหลักปฏิจจสมุปบาทจะเป็นแกนสำคัญในการอธิบายการเกิดขึ้นของโลกแต่ก็ยังมีส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย คือ ธาตุ, หลักการเรื่องอายตนะ, และเรื่องฐานะ และอฐานะ หลักปฏิจจสมุปบาทคือแกนกลางที่รวมหลักการเหล่านั้นไว้ด้วยกัน,ก่อกำเนิดจักรวาลและสรรพสิ่งขึ้นมา,
ประการที่สองเป็นคำตอบเรื่องธาตุพื้นฐาน กาลและอากาศ และวิญญาณ.ในตอนก่อน, ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พุทธศาสนาจำเป็นต้องยอมรับถึงความมีอยู่ในฐานะเป็นปัจจัยสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านี้.
ประการที่สาม ให้คำตอบว่า มนุษย์มีกำเนิดมาได้อย่างไร? การอธิบายถึงกำเนิดของมนุษย์เป็นผลพวงประการหนึ่งจากการค้นพบหลักปฏิจจสมุปบาท.
อย่างไรก็ตาม มีข้อที่น่าสังเกต ก็คือ ภายใต้หลักปฏิจจสมุปบาท. เราอาจอธิบายกำเนิดของมนุษย์ได้เป็น ๒ แนวทาง. แนวทางแรก การพยายามอธิบายโดยอาศัยข้อมูลจากพุทธศาสนา. ปราชญ์ทางพุทธศาสนา ได้พยายามประยุกต์หลักฐานเท่าที่มี (แม้ว่าในบางครั้ง อาจเป็นข้อมูลคนละส่วนด้วยซ้ำไป) มาประยุกต์เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้. ผลที่ออกมาจึงอาจอ่อนทางหลักฐานไปบ้าง.
ส่วนในแนวทางที่สอง เป็นการยึดหลักปฏิจจสมุปบาทเช่นเดียวกัน แต่อาศัยข้อมูลในเรื่องนี้อย่างอิสระ ความพยายามในข้อนี้ไม่ใช่การนำเอาแนวความคิดดั้งเดิมมาประยุกต์อย่างขาดไม่ได้ เพราะการดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างอิสระจะให้ความเป็นไปได้มากกว่า. อย่างไรก็ตาม งานในส่วนนี้ของปราชญ์ทางพุทธศาสนาไม่ได้มีการเริ่มต้นกันมากนัก. จริง ๆ แล้ว กลับไปปรากฏในแนวคิดทางตะวันตกแทน เช่น การพยายามอธิบายเรื่องวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน เป็นต้น. พุทธศาสนาควรได้ยอมรับแนวความคิดเช่นนี้ในฐานะเป็น “ตัวอย่างหนึ่ง” ของการอธิบายตามหลักปฏิจจสมุปบาท.
ประการที่สี่ สรรพสิ่งดำเนินไปอย่างไร? ปฏิจจสมุปบาทจะบอกเราได้ว่าการดำเนินไปของสรรพสิ่งในขณะหนึ่งเป็นผลมาจากอดีต และขณะเดียวกันจะก่อให้เกิดผลต่อสิ่งข้างหน้าต่อไป. ความแตกต่างของการเคลื่อนไหวอาจเกิดขึ้นโดยขึ้นอยู่กับว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปอย่างอิสระตามขบวนการทางธรรมชาติหรือจากเจตจำนงของมนุษย์เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๒ ส่วนยังอยู่ภายใต้หลักปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
ประการที่ห้า สรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? แม้ว่า จริง ๆ แล้ว หลักปฏิจจสมุปบาทอาจไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดปลีกย่อยของระบบความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งว่ามีอย่างไรมากนักก็ตาม แต่พื้นฐานตามหลักปฏิจจสมุปบาทนี้มีความสำคัญยิ่งนัก. ดังนั้น พุทธศาสนาไม่มีความอึดอัดใจใด ๆ เลย ที่จะยอมรับถึงกฎแห่งผลกระทบทางธรรมชาติที่เราได้ค้นพบในสมัยหลัง. ไม่มีความรู้สึกที่ทำให้มีความคิดว่า เป็นการขัดแย้งกับหลักการของพุทธศาสนา จริง ๆ แล้ว ส่วนนี้ คือ สิ่งที่พุทธศาสนายอมรับในฐานะเป็น “นิยามของธรรมชาติ”
ประการที่หก เราดำรงอยู่อย่างไร? คำตอบสำคัญในข้อนี้ คือ การที่เรายอมรับบัญญัติต่าง ๆ อย่างเข้าใจ โดยพื้นฐานแห่งความเป็นอนัตตา ทำให้มองเห็นสัจธรรมแห่งโลกและสรรพสิ่งว่าเป็นอย่างไร ในขณะเดียวกันหลักภาวะสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้เรายอมรับกระบวนการแห่งการสมมติ,รวมทั้งภาษาได้.
ข้อที่นับได้ว่ามีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งก็คือ การแสดงหาหลักการทางจริยธรรมเพื่อการใช้เป็นหลักในการดำรงตนให้สอดคล้องกับหลักสัจธรรมข้างต้น.
ทั้งหมดนี้เป็นจุดคลี่คลายปัญหาบางประการที่อาจเกิดขึ้นภายใต้มูลบทที่ว่าสรรพสิ่งเป็นอัตตา. โดยสรุป จะเห็นได้ว่าภายใต้สมมติฐานเช่นนั้น ไม่ได้มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นและเป็นอุปสรรคต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์เลย, ผลลัพธ์ประการเดียวที่เกิดขึ้น คือ การที่ความทุกข์ไม่สามารถบีบคั้นจิตใจมนุษย์ได้อีกต่อไป.
ปฏิจจสมุปบาทกับความอยู่อย่างสัมพันธ์
ข้อสรุปที่สำคัญของหลักปฏิจจสมุปบาทต่อปัญหาเรื่องความมีอยู่ ก็คือปฏิจจสมุปบาทยืนยันว่า สรรพสิ่งอยู่ในฐานะเป็นปัจจัยสัมพันธ์กัน, ดังนั้น การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งจะไร้ความหมาย หรือเท่ากับไม่มีอยู่จริงถ้าหากไร้ความสัมพันธ์กับวสิ่งใด. โดยข้อสรุปอาจอาศัยความเป็นจริงเรื่องธาตุพื้นฐาน, อวกาศ และวิญญาณ เพื่อแสดงความจริงนี้,
ประเด็นที่มีความสำคัญ ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ก็คือ ส่วนของภาษา และทางตรรกวิทยา. ทั้งนี้เนื่องจากว่าไม่มีอะไรที่จะมีอยู่อย่างมีความหมายหากไม่มีความสัมพันธ์ กับสิ่งอื่น, ดังนั้น ในทางตรรกนัย การยืนยันความมีอยู่ของสิ่งใดๆ จะมีความหมายก็เมื่อมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่นด้วย.
ตัวอย่าง เช่น เรามีคำว่า “กา,” มีคำว่า “บิน” และมีคำว่า “เร็ว” แต่ละส่วนเป็นบัญญัติที่ไม่มีความหมายใดๆ บางท่านอาจคิดว่าเมื่อเราได้ยินคำว่า “กา” ก็มีความหมาย เพราะเราอาจนึกถึง “กา” ในฐานะเป็นสัตว์, หรือกาน้ำ เป็นต้น. สังเกตให้ดีว่า เราคิดว่า เราเข้าใจ นั่นเพราะเราได้มองความสัมพันธ์ของกากับสิ่งอื่นเรียบร้อยแล้ว. หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น คำเหล่านี้ก็หามีความหมายไม่.
เมื่อเอาคำข้างต้นมาเชื่อมกันตามหลักอายตนะ เป็น “กาบินเร็ว” ก็จะแสดงความหมายบางส่วนให้ปรากฏ. การนำมาเชื่อมอย่างสัมพันธ์กันมีความสำคัญยิ่งเพราะทำให้ข้อความนี้มีความหมาย การเชื่อมต่ออย่างผิดพลาด หรือไร้สัมพันธภาพทำให้ข้อความนี้ไร้ความหมาย, เหมือนกับเรากล่าวว่า “เร็วบินกา”
ในตรรกวิทยาสมัยใหม่ ที่พยายามแก้ปัญหาในการยืนยันความมีอยู่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้มีการเสนอให้ใช้คำว่า x (x คือ สัตว์ชนิดหนึ่ง และ x มีสีดำ, บินได้ ) ซึ่งหมายความว่า มีบางสิ่ง, ซึ่งก็คือ กา. ความหมายของการยืนยันนี้ คือ กา คือบางสิ่ง. ข้อยืนยันนี้ไม่ได้ยืนยันการมีอยู่ให้กับกาอย่างแท้จริง. ถ้าเราจะเข้าใจความมีอยู่ของกาได้ นั้นก็เพราะเราได้เข้าอยู่ในหลักปัจจัยสัมพันธ์แล้ว.
ปัญหาที่เราจะคิดถึงก็คือการอ้างหลักความสัมพันธ์ก็หาได้ยืนยันความจริงอะไรแกเราไม่,ตัวอย่างเช่น เรายืนยันว่า “สัตว์ที่มีอำนาจพิเศษชนิดหนึ่งสร้างจักรวาลนี้” ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่กลมกลืนและมีการเชื่อมต่อที่ดี เราจำเป็นต้องยอมรับว่า ข้อความนี้มีความเป็นจริงหรือ? จริง ๆ แล้ว หลักสัมพันธ์ไม่ได้ยืนยันว่าสิ่งที่มีความสัมพันธ์อันถูกต้องจะเป็นความจริง เพียงแต่บอกว่ามันมีความเป็นเหตุผล. การพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จจึงต้องการหลักฐานะและอฐานะเป็นตัวตัดสิน.เราอาจยอมรับว่าข้อ ความนี้มีเหตุผล, เช่นเดียวกับที่เราอธิบายการเกิดขึ้นของจักรวาลที่แม้เราจะไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ, แต่เรายอมรับว่ามีเหตุผล.
การนำหลักการทางภาษาและตรรกวิทยามากล่าวโดยให้สัมพันธ์กับหลักปฏิจจสมุปบาทอาจเป็นความคิดที่เหลวไหล. ผู้เขียนเพียงแต่มีความรู้สึกว่า หลักการทางภาษาในพุทธศาสนาโดยเฉพาะภาษาบาลีเป็นฐานรองรับทฤษฎีเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างชัดเจน. ผู้ที่เรียนภาษาบาลีต้องรู้ความสัมพันธ์ของแต่ละคำที่อยู่ในข้อความเดียวกัน, ตัวอย่างเช่น เมื่อเรากล่าวว่า “อิทานิ ฟรงฺสฺส ราชา มุณฑสีโสโหติ” ซึ่งหมายความว่า กษัตริย์ของฝรั่งเศสพระองค์ปัจจุบันนี้มีพระเศียรล้าน (เช่น ที่รัสเซล ได้ยกตัวอย่าง). คำแต่ละคำจะมีความสัมพันธ์ที่เราสามารถบอกความสัมพันธ์นั้นได้. อิทานิ จะเป็น “กาลสัตตมี” ในคำว่า โหติ, ฟรงฺสสฺส เป็น “สามีสัมพันธะ” ในคำว่า ราชา, ราชา เป็น “สยกัตตา” ในคำว่า โหติ, โหติ, เป็น “อาขยาตบทกัตตุวาจก,” มุณฑสีโส เป็น “วิกติกัตตา” ในคำว่า โหติ. ความสัมพันธ์จะเป็นการเชื่อมธาตุของข้อความที่มารวมกันทำให้เกิดความหมายที่ชัดเจนในตัวเอง.เมื่อเราต้องการปฏิเสธ เราจำเป็นต้องระบุว่าการปฏิเสธมีความสัมพันธ์กับส่วนใด, เช่น ไม่ใช่เป็นผู้มีพระเศียรล้าน หรือไม่มีกษัตริย์ในตอนนี้ หรือว่าไม่มีกษัตริย์ที่มีพระเศียรล้านเป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศสในตอนนี้.
ข้อสังเกตนี้เป็นเพียงข้อเสนอแนะให้เห็นระบบกลไกในพุทธศาสนาที่เป็นพื้นฐานทางตรรกวิทยา,
ทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายให้เห็นว่า ในการยืนยันความมีอยู่ในฐานะเป็นปัจจัยสัมพันธ์มีความสำคัญอย่างไร, ไม่ใช่เฉพาะในโลกแห่งวัตถุ, แต่รวมไปถึงระบบภาษาด้วย.
รูปแบบ ๒ อย่างของปฏิจจสมุปบาท
จากการศึกษาหลักการต่าง ๆ ในแนวความคิดตามหลักปฏิจจสมุปบาททำให้สามารถแบ่งนัยการอธิบายตามหลักปฏิจจสมุปบาทออกได้เป็น ๒ กลุ่ม, โดยแยกออกเป็นดังนี้
กลุ่มแรก หลักปฏิจจจสมุปบาท เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติล้วน ๆ หลักเหตุและผลในที่นี้จะเป็นการอธิบายธรรมชาติของสิ่งที่เป็นไปตามเงื่อนไขปัจจัยของมันเอง. สิ่งที่สำคัญในส่วนนี้ ก็คือ กฎเกณฑ์ และความคงตัวแห่งธรรมชาติ.ในวิถีทางธรรมชาติ จะแฝงไปด้วยกฎเกณฑ์และวิถีต่าง ๆ ของสรรพสิ่ง, ตัวอย่าง เช่น กฎทางการละเหยกลายเป็นไอของน้ำ, การแข็งตัว แรงโน้มถ่วง, การเปลี่ยนเป็นพลังงาน เป็นต้น. ดังนั้น การที่เราจะรู้ธรรมชาติได้มากที่สุด ก็คือ เมื่อเราได้เข้าใจกฎเกณฑ์ของมันมากที่สุดด้วย. สรรพสิ่งแปรเปลี่ยนไปตามกฎของตัวเองอย่างอิสระ ระบบความสัมพันธ์ในส่วนนี้จะปรากฏในหลักการเรื่องฐานะและอฐานะ โดยมีส่วนที่เด่นชัด คือ หลักการเรื่องนิยามของธรรมชาติ.
ในส่วนนี้ยังรวมไปถึงการอธิบายธรรมชาติของมนุษย์ในเชิงกายภาพด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย, การเกิดดับของจิต เป็นต้น.
กลุ่มที่สอง หลักปฏิจจสมุปบาทที่มีเจตจำนง หรือเจตนาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย.ข้อนี้คือจุดมุ่งหมายสำคัญที่ต้องการแยกให้เห็นอย่างชัดเจน ได้กล่าวแล้วว่าหลักปฏิจจสมุปบาท คือ หลักการที่จะอธิบายความเป็นไปของสรรพสิ่ง, อย่างไรก็ตามในส่วนของมนุษย์ แม้จะเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท แต่ก็มีส่วนพิเศษที่เป็นตัวกำหนดที่สำคัญ นั่นก็คือ เจตนาของมนุษย์ ตรงจุดนี้เอง ที่หลักกรรมเข้ามามีอิทธิพลอย่างยิ่งใหญ่ในระบบอภิปรัชญาของพุทธศาสนา. จริงแล้ว แม้ว่า จุดมุ่งหมายของการนำหลักกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องอาจมีมนุษย์เท่านั้นเป็นจุดศูยน์กลางแต่นี้ก็เป็นจุดหนึ่ง ที่มีผลตามหลักปัจจยาการข้างต้น. แม้ว่ากรรมเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทในส่วนแรก, แต่ที่แยกออกก็เพื่อชี้ให้เห็นความพิเศษของปัจจัยที่มีเจตนาของมนุษย์เข้าไปเป็นตัวกำหนดด้วย.
ในกลุ่มที่สองนี้ เจตนาจะถูกใช้โดยผสมผสานกับกฎและความสม่ำเสมอทางธรรมชาติที่เรารับรู้มา. ยิ่งเรามีความรู้ต่อกฎและความสม่ำเสมอทางธรรมชาติมากเท่าไหร่, เราก็สามารถใช้ความจงใจของเราได้โดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ได้มากเช่นนั้น.
ความแตกต่างระหว่างหลักปฏิจจสมุปบาทใน ๒ กลุ่มนั้นก็คือ เราอาจยืนยันความเป็นเหตุปัจจัยของสรรพสิ่งภายนอกได้อย่างตรงไปตรงมา, เช่น เราสามารถยืนยันได้ว่า เมื่อต้มน้ำบริสุทธิ์ที่ความสูงระดับน้ำทะเลและเมื่ออุณหภูมิ ๑๐๐ องศา น้ำจะเดือด แต่เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าถ้ามนุษย์คนหนึ่งหิวและเขามีข้าว, เขาจะต้องกินเสมอไป เพราะเขาอาจมอบอาหารนั้นให้แก่คนอื่นที่หิวกว่าได้.
แท้ที่จริงแล้ว การแบ่งแยกเช่นนี้หาได้มีผลใด ๆ ต่อหลักปฏิจจสมุปบาทไม่เพียงแต่ทำให้เราสามารถเข้าใจระบบอภิปรัชญาของพุทธศาสนาได้สมบูรณ์มากขึ้น.
ไม่มีความเห็น