เมื่อวานวันที่ 26 มีนาคม 2549 ได้ไปเผาศพน้องผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ "ปาน-ทัศนีย์ รุ่งเรือง" เป็น NGO ทีทำงานอยู่กับพี่น้องที่คัดค้านการสร้างท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ท่อก๊าซอัปยศที่ไทยทำ มาเลย์ใช้ น้องเขาเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับจากไปร่วมกู้ชาติกับพันธมิตรที่กรุงเทพ เพื่อจะมาขึ้นศาลคดีท่อก๊าซที่ชาวบ้านถูกกล่าวหาเป็นความกับรัฐ ทั้งที่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่ชุมชนมีสิทธิที่จะปกป้องทรัพยากรท้องถิ่น ที่ร้อยรัดความเป็นชุมชน เป็นที่ทำกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ปานร่วมสู้กับชาวบ้านนับตั้งแต่เริ่มต้น ระหว่างทางรถทัวร์ที่นั่งกลับใต้พลิกคว่ำทำให้น้องเขาเสียชีวิต
ศพของน้องเผาที่ป่าช้า วัดตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง เชิงตะกอนที่เผาศพเป็นเชิงตะกอนโล่ง เผาด้วยฟืน แล้วนำโลงศพวางอยู่ด้านบน เหมือนการเผาศพในสมัยก่อน ก่อนที่จะมีเมรุไฟฟ้า หรือ เมรุน้ำมันแบบปิด ซึ่งเป็นเมรุตามวัดส่วนใหญ่ในสมัยนี้
หลังจากการวางดอกไม้จันท์ ของผู้ไปอำลาครั้งสุดท้าย โลงศพก็ย้ายไปอยุ่ที่เชิงตะกอน เปลวไฟอำลาก็ลุกโชน ร่างในโลงก็เริ่มจากลา หลายคนเริ่มน้ำตาไหล หลายคนนิ่งดูอย่างสงบเพื่อส่งใจอาลัยไปกลับร่างที่นอนสงบ เพื่อให้ไปสู่สุขคติ
เปลวไฟที่ลุกโชน เต้นระยับ เหนือร่าง
เหมือนจะบอกว่าทุกชีวิตต่างสิ้นสุดและจากลา
เหมือนจะบอกว่าชีวิตนั้นสั้นนัก ไม่มีใครกำหนดได้
เหมือนจะบอกว่าความตายอยู่ใกล้แต่เอื้อม
เหมือนจะบอกว่าความตายเดินตามหลังเรา เหมือนเงาตามตัว
เปลวไฟ เชิงตะกอน คือ บทเรียนชีวิต
เกิด แก่ เจ็บ ตาย มิอาจยื้อยุด ฉุดได้
เปลวไฟ เชิงตะกอน คือบทเรียนสุดท้าย ที่ "ปาน" มอบให้เพื่อนผู้ไปอำลาครั้งสุดท้าย
ไม่มีความเห็น