แสงเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ ลองมาดูประวัติการใช้แสงและการคิดค้นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแสงตามเส้นทางของเวลาที่สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.4 ล้านปีก่อนคริสต์ศักราช |
ปรากฏหลักฐานการนำไฟมาใช้ของมนุษย์ |
12,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
ปรากฏหลักฐานการใช้คบไฟ (Oil Burning Lamps) |
3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
คนในเอเชียและตะวันออกกลางเริ่มศึกษาเรื่องแสง เงา และ การนำไปใช้ในการเฉลิมฉลองต่างๆ คนในเอเชียยังได้เริ่มสร้างและใช้กระจกเงาด้วย |
900-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
ได้มีการสร้างเลนส์นูนที่มีกำลังขยายต่ำขึ้นโดยชาวบาบิโลเนียน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นเครื่องประดับ |
400-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
Plato เสนอว่าวิญญาณเป็นจุดกำเนิดของการมองเห็นของเรา และแสงมีจุดกำเนิดมาจากดวงตา |
Democritus ได้นำความรู้ในเรื่องของขนาด รูปร่าง และความหยาบของอะตอมมาอธิบายถึงการมองเห็นและสีของวัตถุ |
|
Euclid ได้เผยแพร่ผลงาน Optica ซึ่งอธิบายถึงกฎการสะท้อนของแสง และการเดินทางเป็นเส้นตรงของแสง |
|
Aristotle ได้คาดเดาเกี่ยวกับการมองเห็น และได้ปฏิเสธทฤษฎีที่ว่าแสงมีจุดกำเนิดมาจากดวงตา |
|
280 ปีก่อนคริสต์ศักราช |
ประภาคารได้ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยชาวอียิปต์ |
250 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 100 หลังคริสต์ศักราช |
ชาวจีนเป็นชนกลุ่มแรกที่เริ่มใช้เลนส์ โดยเฉพาะในเรื่องการแก้ปัญหาสายตา |
นักมายากล Shao Ong ได้ประดิษฐ์หนังตะลุงที่มีการฉายเงาของหุ่นต่างๆ ไปบนจอ |
|
นักปรัชญาชาวโรมันชื่อ Seneca ได้อธิบายถึงกำลังขยายของภาพของวัตถุเมื่อมองผ่านทรงกลมที่มีน้ำบรรจุอยู่ |
|
ผู้ครองจักรวรรดิโรม Nero Claudius Caesar ได้นำมรกตที่เจียรไนแล้วมาช่วยแก้ปัญหาสายตาที่สั้นเพื่อให้เห็นการประลองสู้รบกันในสนามได้ชัดขึ้น |
|
Hero (Alexandria) ได้ตีพิมพ์ผลงานที่มีชื่อ Catoptrica ซึ่งมีความหมายว่า การสะท้อน และได้สาธิตให้เห็นว่า มุมสะท้อนของแสงมีค่าเท่ากับมุมที่แสงตกกระทบ |
|
100-950 ปีหลังคริสต์ศักราช |
Claudius Ptolemy เป็นบุคคลแรกที่ได้รวบรวมและตีพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองทางด้านแสง ทั้งยังเป็นบุคคลที่ให้การสนับสนุนหลักการที่ว่าแสงก่อกำเนิดมาจากดวงตา และ ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก |
นักวิทยาศาสตร์ชาวจีน Ting Huan ได้ค้นพบภาพเคลื่อนไหวที่มองผ่านกระแสของไอร้อน |
|
นักฟิสิกส์ชาวกรีก Galen ได้ศึกษากล้องสองตา |
|
นักคณิตศาสตร์ชาวโรมัน Anicus Boethius ได้พยายามที่จะวัดความเร็วของแสง |
|
Yu Shao Lung ได้สร้างเจดีย์ขนาดเล็กเพื่อใช้ศึกษาภาพ และ การเดินทางของแสง จากกล้องรูเข็ม |
|
Gerber นักเล่นแร่แปรธาตุชาวอาหรับ พบว่าเมื่อ Silver Nitrate ถูกแสงสว่างจะเปลี่ยนเป็นสีดำ การค้นพบนี้เป็นจุดเริ่มต้นของฟิล์มที่ใช้ถ่ายรูป |
|
999 ปีหลังคริสต์ศักราช |
Alhazen ได้ใช้กระจกทรงกลม และ ทรงพาราโบลอยด์ ในการศึกษาการบิดเบี้ยวของภาพ ทั้งเป็นบุคคลแรกที่เสนอว่าดวงตาไม่ได้เป็นจุดกำเนิดของแสงแต่ทำหน้าที่รับแสง นอกจากนี้เขายังได้ศึกษาถึงกำลังของภาพของวัตถุที่เกิดจากการหักเหของแสงผ่านชั้นบรรยากาศ ได้ศึกษาเกี่ยวกับกายวิภาคของดวงตา และการเกิดภาพบนเรตินาของดวงตา และได้อธิบายถึงความเพิ่มความคมชัดของภาพที่เกิดจากกล้องรูเข็มด้วยการลดขนาดของรูที่แสงผ่าน |
ค.ศ. 1000-1199 |
นักปรัชญาและนักฟิสิกส์ชาวอิหร่าน Ibn Sina ได้เสนอทฤษฎีที่ว่าแสงมีความเร็วจำกัดที่ค่าๆ หนึ่ง |
นักปรัชญาชาวจีน Shen Kua ได้อธิบายการเกิดภาพที่เกิดจากกระจกโค้งนูน และเป็นคนที่ประดิษฐ์นาฬิกาแดดจากทองสัมฤทธิ์ |
ค.ศ. 1268-1272 |
Roger Bacon เป็นบุคคลแรกที่เสนอทฤษฎีที่เกี่ยวกับการนำเลนส์มาใช้ในการแก้ปัญหาสายตา และเป็นบุคคลแรกที่ได้นำเรขาคณิตมาใช้ในการศึกษาเรื่องแสง ทั้งยังได้ตั้งสมมุติฐานว่าสีของรุ้งเกิดจากการสะท้อนและการหักเหของแสงอาทิตย์ผ่านหยดน้ำ แต่เขาไม่ได้พิสูจน์สมมุติฐานนี้ |
ค.ศ. 1275 |
Albertus Magnus ได้ศึกษาสีของรุ้ง และได้ตั้งสมมุติฐานว่าแสงมีความเร็วสูงมาก และมีค่าจำกัดที่ค่าๆ หนึ่ง |
ค.ศ. 1303 |
Bernard ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ได้บันทึกถึงการใช้แว่นตาในการแก้ปัญหาสายตายาว |
ค.ศ. 1304 |
Theodoric ชาวเยอรมัน ได้สาธิตการเกิดรุ้ง และอธิบายว่าเกิดจากการหักเหและสะท้อนของแสงภายในหยดน้ำ สอดคล้องกับทฤษฎีของ Roger Bacon ที่ได้เสนอไว้เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว |
ค.ศ. 1480 |
Leonardo da Vinci ได้ศึกษาเรื่องการสะท้อนของแสง และได้เปรียบเทียบกับการสะท้อนของคลื่นเสียง |
ค.ศ. 1520 |
Franciscus Maurolycus ได้อธิบายวิธีการสร้างกล้องไมโครสโคป และได้อธิบายถึงตำแหน่งของภาพในกล้องรูเข็มที่เปลี่ยนไปเมื่อวัตถุเปลี่ยนตำแหน่ง |
ค.ศ. 1556 |
George Fabricius ได้พบว่าเมื่อมีการเพิ่มสารละลายของเกลือและ Silver Nitrate ในธาตุโลหะบางชนิด โลหะนั้นจะเปลี่ยนจากสีขาวไปเป็นสีดำถูกแสงอาทิตย์ |
ค.ศ. 1558 |
Giovanni Battista Della Porta ได้เปรียบเทียบการมองเห็นของคนกับภาพที่ได้จากกล้อง โดยอาศัยความรู้ในเรื่องการหักเหของแสง ปริซึม และเลนส์ |
ค.ศ. 1568 |
Daniel Barbaro ได้อธิบายวิธีการใช้เลนส์นูนเพื่อเพิ่มความชัดของภาพ และได้ชี้ให้เห็นว่าภาพที่คมชัดขึ้นสามารถนำมาใช้ร่างบนกระดาษด้วยดินสอ |
ค.ศ. 1585 |
Giovanni Bennedetti นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ได้อธิบายถึงการใช้กระจกเว้าร่วมกับเลนส์นูนในการแก้ปัญหาภาพที่บิดเบี้ยวไป |
ค.ศ. 1590 |
Zacharias Janssen ช่างทำเลนส์ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้ร่วมกับพ่อของเขาในการประดิษฐ์กล้องไมโครสโคปที่เกิดจากการใช้ชุดของเลนส์ที่ประกอบไปด้วยเลนส์วัตถุที่เป็นเลนส์นูนและเลนส์ตาที่เป็นเลนส์เว้า ได้อธิบายวิธีการสร้างกล้องไมโครสโคป และได้อธิบายถึงตำแหน่งของภาพในกล้องรูเข็มที่เปลี่ยนไปเมื่อวัตถุเปลี่ยนตำแหน่ง |
ค.ศ. 1604 |
Johannes Kepler ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มแสงกับระยะห่างจากแหล่งกำเนิดแสงว่าความเข้มแสงจะแปรผกผันกับระยะห่างยกกำลังสอง นอกจากนี้ยังได้อธิบายถึงภาพบนเรตินาที่เกิดจากเลนส์ในดวงตา ทั้งยังได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดสายตาสั้นและยาว |
ค.ศ. 1608 |
Hans Lippershey ช่างทำเลนส์ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้สร้างกล้องดูดาวขึ้นมา ซึ่งประกอบไปด้วยเลนส์วัตถุที่ทำหน้าที่รวมแสงกับเลนส์ตาที่ทำหน้าที่กระจายแสง และภายหลังต่อมา Galileo Galilei ได้นำมาใช้เพื่อศึกษาทางด้านดาราศาสตร์ |
ค.ศ. 1611 |
Johannes Kepler ได้เสนอแบบของกล้องดูดาวชนิดใหม่ที่ประกอบไปด้วยเลนส์นูนสองชิ้น ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบกล้องดูดาวหลากหลายชนิดในเวลาต่อมา |
ค.ศ. 1616 |
Nicolas Zucchi ได้สร้างกล้องดูดาวที่มีการใช้กระจกเว้าเข้ามาช่วยในการขยายภาพร่วมกับการใช้เลนส์ |
ค.ศ. 1619 |
Cornelius Drebbel ได้สร้างเครื่องฝนเลนส์เป็นครั้งแรก |
ค.ศ. 1621 |
Willebrord Snell ได้ค้นพบกฎการหักเหของแสง และได้พิสูจน์ว่าองค์ประกอบของวัตถุที่ให้แสงเคลื่อนที่ผ่านมีผลต่อค่าดัชนีหักเหของแสง ซึ่งการค้นพบนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกมาโดย Christiaan Huygens ในปี ค.ศ. 1703 |
ค.ศ. 1637 |
René Descartes ได้อธิบายถึงการเกิดรุ้ง และได้เผยแพร่ผลงานเรื่องการค้นพบกฎการสะท้อนของแสง และกฎการหักเหของแสง |
ค.ศ. 1647 |
Bonaventura Cavalieri สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างรัศมีของเลนส์บางกับความยาวโฟกัสของมัน |
ค.ศ. 1658 |
Pierre de Fermat ได้ให้คำจำกัดความของ “เวลาที่น้อยที่สุด (least time) ซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่าลำแสงจะเคลื่อนที่ตามเส้นทาง ที่ใช้เวลาที่น้อยที่สุด หลักการนี้สอดคล้องกับพื้นฐานที่สำคัญของกฎการหักเหของแสง และ กฎการสะท้อนของแสง |
ค.ศ. 1663 |
James Gregory ได้อธิบายกล้องดูดาวแบบสะท้อน |
ค.ศ. 1664 |
Robert Hooke เป็นคนแรกที่สร้างกล้องดูดาวแบบสะท้อนตามวิธีการที่ James Gregory ได้อธิบายไว้ |
ค.ศ. 1664 |
หนังสือของ Francisco Maria Grimaldi ที่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่หลังจากเขาได้ลาผ่านโลกนี้ไปเป็นเวลา 2 ปี ได้กล่าวถึงการเลี้ยวเบนของแสงขาว และได้มีการกล่าวถึงว่าแสงมีพฤติกรรมเป็นคลื่นได้ด้วย |
ค.ศ. 1666 |
Isaac Newton พบว่าแสงขาวสามารถถูกแยกออกเป็นหลากหลายสีเมื่อเคลื่อนที่ผ่านปริซึม |
ค.ศ. 1668 |
Isaac Newton ได้ประดิษฐ์กล้องดูดาวแบบสะท้อนเพื่อลดการบิดเบือนของภาพที่ได้ โดยอาศัยหลักการของกล้องดูดาวที่ James Gregory ได้อธิบายไว้ก่อนหน้า |
ค.ศ. 1669 |
Erasmus Bartholin ค้นพบการหักเหแบบสองครั้ง (Double Refraction) เมื่อมองผ่านคริสตอลชนิดหนึ่ง |
ค.ศ. 1672 |
Isaac Newton ได้สรุปว่าแสงขาวสามารถถูกแยกออกเป็นหลากหลายสีเมื่อเคลื่อนที่ผ่านปริซึม และแสงแต่ละสีก็มีมุมหักเหที่แตกต่างกันไป |
ค.ศ. 1676 |
Ole Roemer สามารถสรุปได้ว่าแสงมีความเร็วจำกัดที่ 225,000 กิโลเมตรต่อวินาที |
ค.ศ. 1678 |
Christiaan Huygens ได้นำเสนอทฤษฎีคลื่นของแสง |
ค.ศ. 1800 |
William Herschel ได้ค้นพบแสงในย่านอินฟาเรด |
ค.ศ. 1801 |
Thomas Young ได้ค้นพบการแทรกสอดกันของแสง ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าแสงมีพฤติกรรมเป็นคลื่นด้วย |
Johann Wilhelm Ritter ได้ค้นพบแสงในย่านอุลตราไวโอเล็ต |
|
ค.ศ. 1802 |
William Hyde Wollaston ได้ค้นพบว่าสเปกตรัมของแสงอาทิตย์มีความไม่ต่อเนื่องเกิดขึ้น โดยมีแถบดำขั้นอยู่ |
ค.ศ. 1808 |
Étienne-Louis Malus ได้ค้นพบว่าแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากวัตถุมีความเป็นโพลาไรซ์ (สามารถบอกทิศทางการสั่นของสนามไฟฟ้าของคลื่นได้) |
ค.ศ. 1811 |
Augustin-Jean Fresnel และ François Arago พบว่าแสงสองลำที่มีลักษณะของโพลาไรเซชันของแสงตั้งฉากกันไม่สามารถแทรกสอดกันได้ |
ค.ศ. 1812-1814 |
Joseph von Fraunhofer ได้ทำการวัดสเปกตรัมเส้นที่ 324 และ 500 ซึ่งพบครั้งแรกโดย Wollaston การวัดครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของพื้นฐานทางด้านสเปกโตรสโคปี (Spectroscopy) |
ค.ศ. 1815 |
David Brewster สามารถหาความสัมพันธ์ทางคณิตศาสต์อย่างง่ายระหว่างมุมตกกระทบของแสงบนวัตถุที่จะทำให้แสงที่สะท้อนมีความเป็นโพลาไรซ์ |
ค.ศ. 1816 |
Augustin-Jean Fresnel สามารถอธิบายถึงการเลี้ยวเบนและการแทรกสอดกันของแสงด้วยคณิตศาสตร์ที่มีความสมบูรณ์มาก |
ค.ศ. 1817 |
Thomas Young ได้เสนอว่าแสงเป็นคลื่นตามขวาง (มีการสั่นของคลื่นในทิศทางที่ตั้งฉากกันกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น) |
ค.ศ. 1821 |
Joseph von Fraunhofer ได้สร้างเกรตติ้งเป็นครั้งแรก ซึ่งมี 260 เส้น |
Augustin-Jean Fresnel ได้เสนอสมการที่ใช้คำนวณหาปริมาณของแสงหักเหและสะท้อน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “สัมประสิทธิ์การสะท้อนและการหักเห” |
|
ค.ศ. 1828 |
William Nicol ได้ประดิษฐ์ปริซึม “Nicol Prism” จาก Calcite สองชิ้น เพื่อใช้แยกแสงออกเป็นโพลาไรเซชันเชิงเส้นที่มีทิศทางตั้งฉากกัน |
ค.ศ. 1833 |
Camille Sébastien Nachet ได้ประดิษฐ์กล้องไมโครสโคปสำหรับใช้ดูความเป็นไบริฟรินเจน (Birefrigence) ของวัสดุ |
ค.ศ. 1839 |
William Tabot ได้ค้นพบกระบวนการอัดรูปลงบนกระดาษที่เคลือบสารไวแสงไว้ เขายังได้บังเอิญพบว่าสารซิลเวอร์ฮาไรด์ก็มีความไวแสงและช่วยลดเวลาการฉายแสงจากเดิมใช้ 1 ชั่วโมง ลงเหลือประมาณ 1-3 นาที เท่านั้น |
ค.ศ. 1840 |
Giovanni Battista Amici ได้เสนอหลักการ “oil immersion” เพื่อลดความบิดเบือนของภาพที่ดูจากกล้องไมโครสโคป |
ค.ศ. 1842 |
Alexandre Edmund Becquerel สามารถถ่ายภาพสเปกตรัมของแสงจากดวงอาทิตย์ได้ |
ค.ศ. 1845 |
Michael Faraday ค้นพบปรากฎการณ์ “Faraday Effect” ที่สนามแม่เหล็กสามารถนำไปใช้หมุนลักษณะโพลาไรเซชันของแสงได้ |
ค.ศ. 1846 |
Michael Faraday ได้ตั้งสมมุติฐานที่ว่าแสงสามารถพิจารณาว่าเป็นแรงชนิดหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากเขาได้ค้นพบก่อนหน้านี้ว่าสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กสามารถทำให้เกิดแรงขึ้นได้ และแสงเองก็มีทั้งสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก |
ค.ศ. 1849 |
Armand-Hippolyte-Louis Fizeau เป็นบุคคลแรกที่สามารถหาค่าความเร็วของแสงได้ละเอียดที่สุด |
Henry Clifton Sorby เป็นบุคคลแรกที่ใช้หลักการของโพลาไรเซชันมาตรวจร่องรอยต่างๆ บนหิน |
|
David Brewster ได้นำหลักการของโพลาไรเซชันมาช่วยสร้างภาพเคลื่อนไหว |
|
ค.ศ. 1850 |
Jean-Bernard-Leon Foucault สามารถวัดความเร็วของแสงได้ 298,000 กิโลเมตรต่อวินาที และพบว่าความเร็วของแสงในน้ำมีค่าแตกต่างกับในอากาศ |
ค.ศ. 1861 |
James Clerk Maxwell สามารถบันทึกภาพสีได้เป็นครั้งแรก โดยใช้ตัวกรองแสงสีแดง เหลือง และน้ำเงิน |
Robert Wilhelm Bunsen และ Gustav Kirchoff ได้สรุปว่าแถบสเปกตรัมของแสงอาทิตย์เป็นผลมาจากการดูดซับแสงของอะตอมในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ |
|
ค.ศ. 1865 |
James Clerk Maxwell พิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ด้วยสมการที่เรารู้จักกันว่า Maxell Equation ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความเร็วเท่ากับความเร็วแสง และ ได้สรุปว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า |
ค.ศ. 1871 |
John William Strut (Lord Rayleigh) ได้เสนอสมการคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายการกระเจิงของแสงที่ทำให้เราเห็นสีฟ้าของท้องฟ้า |
ค.ศ. 1872 |
บริษัท Bausch & Lomb เริ่มผลิตกล้องไมโครสโคป |
Henry Draper เป็นคนแรกที่สามารถถ่ายภาพสเปกตรัมของดวงดาวได้ |
|
ค.ศ. 1873 |
Ernst Abbe ได้เสนอสมการคณิตศาสตร์อย่างละเอียดที่ใช้อธิบายถึงการนำแสงไปใช้ในการประมวลผลภาพ และได้พบความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของรูที่ให้แสงผ่าน ความยาวคลื่นแสง และ รายละเอียดของภาพที่มองผ่านกล้องไมโครสโคป |
ค.ศ. 1875 |
John Kerr ค้นพบว่าสนามไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนคุณสมบัติเชิงแสงของวัตถุได้ ซึ่งคือปรากฏการณ์อิเล็กโตรออปติกส์อันดับสอง (Quadratic Electro-Optics) |
ค.ศ. 1878 |
Ernst Abbe และ Carl Zeiss ได้ปรับปรุงเลนส์วัตถุแบบ oil-immersion |
ค.ศ. 1879 |
Thomas Alva Edison ได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า |
ค.ศ. 1880 |
Alexander Graham Bell ได้ประดิษฐ์โทรศัพท์แสง โดยใช้หลักการสะท้อนของแสงแทนการใช้สายส่งสัญญาณไฟฟ้า |
ค.ศ. 1881 |
William Wheeler ได้จดสิทธิบัตรท่อนำแสงที่อาศัยการสะท้อนของแสงกลับไปกลับมาภายในท่อ |
Marey ได้ประดิษฐ์ “Photographic Gun” ซึ่งใช้บันทึกภาพเคลื่อนไหว อันเป็นจุดกำเนิดของกล้องถ่ายภาพวีดีโอ |
|
Frederick Ives ได้ประดิษฐ์วิธีการพิมพ์แบบ Half Tone |
|
Albert Abraham Michelson ได้ประดิษฐ์เครื่องแทรกสอดกันของแสงเพื่อนำมาใช้วัดความเร็วของโลก |
|
ค.ศ. 1885 |
Henry Rowland ได้ประดิษฐ์เครื่องสลักที่สามารถสร้างลายเส้นจำนวน 20,000 เส้นตลอดความยาวหนึ่งนิ้วได้ สำหรับใช้ทำเกรตติ้ง |
Johann Jakob Balmer ได้เสนออนุมกรมคณิตศาสตร์ที่สามารถคำนวณหาแถบสเปกตรัมของก๊าซไฮโดรเจน และเป็นที่รู้จักกันว่า Balmer Series |
|
George Eastman เริ่มทำตลาดฟิล์มถ่ายรูป ซึ่งเรารู้จักกันในยี่ห้อ Kodak |
|
ค.ศ. 1887 |
Albert Michelson และ Edward Morley ได้พิสูจน์ว่าไม่มี Ether ในจักรวาล (เดิมทีทุกคนเชื่อว่ามีตัวกลางชนิดนี้อยู่) |
Heinrich Hertz บังเอิญค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric Effect) ขณะทำการทดลองเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า |
|
ค.ศ. 1888 |
Heinrich Hertz ได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ Maxell Equation |
ค.ศ. 1820-1893 |
John Tyndall เป็นบุคคลแรกที่แสดงให้เห็นปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมดของแสงซึ่งเป็นพื้นฐานของการส่งแสงผ่านท่อนำแสง (Waveguide) และ เส้นใยแก้วยำแสง (Optical fiber) |
ค.ศ. 1893 |
Friedrich Pockels ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์อิเล็กโตรออปติกส์เชิงเส้น (Linear Electro-Optics) |
ค.ศ. 1895 |
Wilhelm Wien ศึกษาการแผ่รังสีของวัตถุดำ (Blackbody) และสามารถหาสมการคณิตศาสตร์ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิของวัตถุและรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมา นอกจากนี้ยังได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสีของดวงดาวกับอุณหภูมิของดวงดาวนั้น |
ค.ศ. 1862-1942 |
William Henry Bragg ผู้พ่อ และ William Lawrence Bragg ผู้เป็นลูกได้ศึกษาการหักเหของแสงอันเนื่องมาจากโครงสร้างพีรีโอดิด (Periodic Structure) ของวัสดุที่เกิดจากเสียงหรืออุลตร้าซาวด์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการศึกษาทางด้านการควบคุมแสงด้วยเสียง (Acousto-Optics) |
ค.ศ. 1900 |
Max Planck ได้เสนอทฤษฎีการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าว่าเป็นแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete) และเรียกระดับพลังงานว่า ควอนตา (Quanta) |
ค.ศ. 1902 |
Phillipp E. A. Lenard ทำการทดลองเกี่ยวกับ Photoelectric Effect และพบว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างน้อยแสงที่ใช้ต้องมีความถี่ที่เหมาะสม |
ค.ศ. 1905 |
Albert Einstein นำเสนอผลงานตีพิมพ์เกี่ยวกับ Photoelectric Effect โดยอาศัยความไม่ต่อเนื่องของระดับพลังงานมาใช้ในการอธิบาย |
ค.ศ. 1906 |
Charles Barkla พบว่ารังสี X เป็นคลื่นตามขวางเช่นเดียวกันกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และ แสง |
ค.ศ. 1913 |
Neils Bohr ได้เสนอโครงสร้างของอะตอม โดยอธิบายด้วยว่าการดูดซับแสงและการปลดปล่อยแสงของอะตอมเกิดขึ้นเมื่ออิเล็กตรอนมีการเคลื่อนที่จากระดับพลังงานหนึ่งไปยังอีกระดับพลังงานหนึ่ง แสงที่ถูกดูดซับหรือปลดปล่อยออกมาจะมีระดับพลังงานเป็นแบบ Quanta ซึ่งมีค่าเท่ากับพลังงานที่อิเล็กตรอนดูดไปหรือสูญเสีย |
ค.ศ. 1924-1925 |
Louis de Broglie พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นของอิเล็กตรอน และสรุปว่าอนุภาคมีพฤติกรรมแบบคลื่นได้เช่นกันขึ้นอยู่กับสภาวะขณะนั้น |
Satyendra Nath Bose ได้เสนอสมการคณิตศาสตร์ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นกับอนุภาค ซึ่งภายหลังต่อมาเมื่อได้ร่วมงานกับ Albert Einstein เกิดเป็นทฤษฎีทางสถิติที่รู้จักกันว่า Bose-Einstein Statistics รวมไปถึงการควบแน่นของสสารที่เรียกว่า Bose-Einstein Condensation |
|
ค.ศ. 1926 |
Albert Michelson ใช้เครื่องแทรกสอดของแสงวัดความเร็วของแสงที่มีความถูกต้องมากขึ้นกว่าที่เคยมีมา |
ค.ศ. 1928 |
Chandrasekhara Raman สังเกตเห็นว่าเมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่านวัตถุโปร่งใส แสงบางส่วนจะเบี่ยงเบนไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนความยาวคลื่นของแสง ปรากฏการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันว่า Raman Effect หรือการกระเจิงของแสงแบบ Raman (Raman Scattering) |
ค.ศ. 1930 |
Bernhard Schmit ประดิษฐ์กล้องดูดาว Schmit โดยใช้กระจกทรงทรงแทนกระจกทรงพาราโบลอยด์และมีแผ่นชดเชยความบิดเบี้ยวของภาพด้วย |
Frits Zernike ค้นพบหลักการของ Phase Contrast ซึ่งช่วยให้เห็นโครงสร้างภายในของวัตถุโปร่งใสได้ |
|
ค.ศ. 1932 |
Edwin H. Land พัฒนาแผ่นกรองโพลาไรเซชันของแสงได้ และเป็นที่รู้จักกันว่า แผ่น Polaroid |
ค.ศ. 1936 |
Torbjörn Oskar Caspersson ใช้กล้องไมโครสโคปร่วมกับแสงอุลตราไวโอเล็ตศึกษาจีนของเซล |
ค.ศ. 1938 |
Frits Zernike สร้างกล้องไมโครสโคปที่ใช้หลักการ Phase Contrast |
ค.ศ. 1947 |
Edwin H. Land ประดิษฐ์กล้องโพลารอยด์ที่ได้รูปบนกระดาษออกมาในเวลาไม่กี่วินาที |
ค.ศ. 1948 |
Denis Gabor ค้นพบหลักการฮอโลกราฟี (Holography) ที่สามารถนำมาสร้างภาพสามมิติ และ ฮอโลแกรม |
ค.ศ. 1951 |
Charles Townes ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับการขยายสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานของเลเซอร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ได้คิดค้นหลักการของเลเซอร์รวมไปถึง Nikolai G. Basov, Aleksandr M. Prokhorov, และ Arthur L. Schawlaw |
ค.ศ. 1954 |
Abraham van Heel และ Harold H. Hopkins ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับภาพที่ได้จากชุดของท่อนำแสง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเส้นใยแก้วนำแสง |
ค.ศ. 1955 |
Marvin Minsky ประดิษฐ์ Confocal Scanning Microscope |
ค.ศ. 1960 |
Theodore Mailman สร้างเลเซอร์จากทับทิมสำเร็จเป็นคนแรก |
ค.ศ. 1962 |
ทีมวิจัยที MIT, GE และ IBM สร้างเลเซอร์จากสารกึ่งตัวนำสำเร็จ |
ค.ศ. 1961 |
Ali Javan, William Bennet, และ Donald Herriott สร้างเลเซอร์จากก๊าซ He-Ne เป็นครั้งแรก |
ค.ศ. 1964 |
Chandra K. N. Patel ประดิษฐ์เลเซอร์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำเร็จ |
ค.ศ. 1964 |
Emmett Leith และ Juris Upatnieks สร้างภาพฮอโลแกรมสำเร็จเป็นครั้งแรก |
ค.ศ. 1966 |
Peter P. Sorokin และ J. R. Lankard สร้างเลเซอร์จากสารอินทรีย์ได้เป็นครั้งแรก |
Alain Werts เสนอการลักษณะของเส้นใยแก้วนำแสงเหมือนกับของ Kao แต่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเนื่องจากขาดเงินทุน |
|
Charles Kao และ George Hockham ได้เสนอและออกแบบเส้นใยแก้วนำแสงสำหรับใช้ในการสื่อสาร |
|
ค.ศ. 1969 |
Paul Davidovits และ Dabid Egger ตีพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับ Confocal Laser Scanning Microscope ซึ่งสามารถสร้างภาพสามมิติของเซล ชิ้นส่วนของสารกึ่งตัวนำ และเนื้อเยื่อขนาดเล็กได้ |
Willard S. Boyle และ George E. Smith ได้ประดิษฐ์ตัวรับภาพที่เป็นพื้นฐานของตัวรับภาพที่ใช้ในกล้องดิจิทัล และ กล้องในโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน |
|
ค.ศ. 1970 |
Robert Maurer, Donald Keck และ Peter Schultz จาก Corning สามารถผลิตเส้นใยแก้วนำแสงคุณภาพสูงสำหรับใช้ในการสื่อสารได้สำเร็จ |
Arthur Ashkin ได้แสดงให้เห็นว่าแสงมีแรงและสามารถนำไปใช้ในการจับอนุภาคระดับไมโครเมตร-นาโนเมตร รวมถึงการประยุกต์ใช้ในการทำให้อะตอมเย็นลง |
|
ค.ศ. 1972 |
E. A. Ash และ G. Nicholls สาธิต Scanning Microscope จากการใช้รูที่ให้แสงผ่านที่มีขนาดเล็กกว่าความยาวคลื่นทำให้ได้ความละเอียดของภาพจากสนามไฟฟ้าระยะใกล้ดีขึ้น |
ค.ศ. 1975 |
Wineland, Dehmelt, Theodor W. Hänsch และ Arthur Leonard Schawlow เสนอแนวคิดที่นำแสงมาทำให้อะตอมเย็นลง |
ค.ศ. 1980 |
Philips Electronics N. V. และ Sony Corporation ได้ผลิตแผ่น CD สำหรับใช้บันทึกเสียง |
ค.ศ. 1981 |
Arthur Leonard Schawlow และ Nicolaas Bloembergen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เกี่ยวกับการนำเลเซอร์มาใช้กับหลักการทางด้านสเปกโตรสโคปี |
ค.ศ. 1990 |
กล้องดูดาว Hubble Space Telescope ได้ถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก |
ค.ศ. 1995 |
Eric Cornell and Carl Wieman สามารถพิสูจน์การควบแน่นแบบ Bose-Einstein Condensation ได้สำเร็จ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 2001 |
ค.ศ. 1997 |
Steven Chu, Claude Cohen-Tannoudji และ William D. Phillips ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ที่สามารถนำเลเซอร์มาทำให้อะตอมเย็นลงได้ |
ค.ศ. 1999 |
Ahmed Zewail ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากการนำ Femtosecond Laser มาใช้ศึกษาปฏิกิริยาทางเคมี |
ค.ศ. 2002 |
นักวิจัยที่ Harvard University สามารถชลอและหยุดแสงด้วยไอของก๊าซได้ Peter P. Sorokin และ J. R. Lankard สร้างเลเซอร์จากสารอินทรีย์ได้เป็นครั้งแรก |
ค.ศ. 2005 |
Theodor W. Hänsch, John L. Hall และ Roy J. Glauber ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการพัฒนา Laser-based Precision Spectroscopy และ เทคนิค Optical Frequency Comb ที่จะไปแทนนาฬิกาอะตอม |
ค.ศ. 2009 |
Charles Kao ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการสาธิตการส่งข้อมูลแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสง Willard S. Boyle และ George E. Smith ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการประดิษฐ์ตัวรับภาพ |
(รายละเอียดสามารถดูเพิ่มเติมได้จาก http://micro.magnet.fsu.edu, หนังสือ Principles of Optics ของ Emil Wolf)
- รู้จักพี่ชิวครับ...ทำงานอยู่ใน สวทช ด้วยกัน แต่คนละอาคารครับ
- ขอบคุณครับที่จะช่วยแนะนำ link นี้ให้คนที่รู้จัก จะได้ช่วยกันสร้างความตระหนักในเรื่องของแสงให้กับสังคมไทยในอีกทางหนึ่ง
ขอขอบคุณมากค่ะ สำหรับความรู้ในเรื่องนี้ ตอนนี้กำลังหาข้อมูลการศึกษาแสงมาทำรายงานค่ะ หาเว็บไหนก็ไม่มี จะหาภาษาอังกฤษก้อไม่เก่งอังกฤษซะงั้น ยังไงก็ต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะ