นับช่วงเวลาที่มีการก่อตั้งรัฐสมัยใหม่ในประเทศไทยตั้งแต่ในปลายรัชกาลที่ ๕ ประชากรที่อาศัยอยู่จริงในประเทศไทยก็ได้ถูกจำแนกแยกแยะโดยกฎหมายของรัฐให้มีสิทธิในสถานะบุคคล (Right to legal personality) ในลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของประชากรแต่ละคน
ในประการแรก การประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยภูมิลำเนา ทำให้ประชากรในรัฐไทยถูกจำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) บุคคลที่มีตั้งบ้านเรือนในประเทศไทย “ย่อมมีสถานะเป็นผู้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนในประเทศไทย” ในขณะที่ประชากรที่ไม่มีบ้านเรือนในประเทศไทย “ย่อมไม่มี” สถานะเป็นผู้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนในประเทศไทย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมส่งผลต่อการกำหนดกฎหมายที่มีผลกำหนดสาระแห่งสิทธิในความเป็นบุคคลตามกฎหมายที่สำคัญ กล่าวคือ (๑) การเริ่มต้นสภาพบุคคลตามกฎหมาย (๒) ความสามารถโดยสมบูรณ์ของบุคคลตามกฎหมาย และ (๓) การสิ้นสุดสภาพบุคคลตามกฎหมาย
ในประการที่สอง การก่อตั้งสถาบันกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในประเทศไทยในราว พ.ศ.๒๕๔๒[1] ทำให้ประชากรในรัฐไทยถูกจำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) บุคคลที่ได้รับการบันทึกชื่อในทะเบียนบุคคลของรัฐ ซึ่งทำให้มีสถานะเป็น “บุคคลที่มีรัฐให้ความคุ้มครอง” หรือมักเรียกสั้นๆ ได้ว่า “คนมีรัฐ” และ (๒) บุคคลที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อในทะเบียนบุคคลของรัฐ ซึ่งทำให้มีสถานะเป็น “บุคคลที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ” หรือที่มักเรียกสั้นๆ ว่า “คนไร้รัฐ (Stateless)”
ในประการที่สาม การก่อตั้งสถาบันกฎหมายว่าด้วยสิทธิในสัญชาติไทยในประเทศไทยในราว พ.ศ.๒๕๕๔[2] ทำให้ประชากรในรัฐไทยถูกจำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) บุคคลที่ได้รับรองว่า มีสิทธิในสัญชาติไทยแล้ว ก็ย่อมมีสถานะเป็น “คนสัญชาติไทย” และ (๒) บุคคลที่ได้รับรองว่า มีสิทธิในสัญชาติไทยแล้ว ก็ย่อมมีสถานะเป็น “คนต่างด้าว”
[1] อันเป็นปีที่มีการประกาศใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เพื่อจัดทำทะเบียนบุคคลที่มีสถานะเป็นประชากรของรัฐไทย กล่าวคือ บุคคลที่อาศัยอยู่จริงในประเทศไทย
[2] อันเป็นปีที่มีการประกาศใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกว่าด้วยสัญชาติไทย เพื่อรับรองสิทธิและให้สิทธิในสัญชาติไทยแก่ประชากรของรัฐไทย
ไม่มีความเห็น