ปีการศึกษา 2551 นี้ ผมมารับผิดชอบสอนวิชาชีววิทยาเบื้องต้นหรือ Introductory Biology : Part Animal เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี (ปรับปรุงหลักสูตรในปีการศึกษา 2546)
เริ่มต้น ๓ ชั่วโมงแรก ผมเปิดหนัง (VCD) สามก๊ก ตอน "เล่าปี่ไปเชิญขงเบ้งที่กระท่อมน้อยครั้งที่ ๓" หรือ "เปิดตัวขงเบ้ง" ให้นิสิตดู เพื่อหวังให้นิสิตรู้จักเรื่อง "การวางแผน" โดยเฉพาะแผนการเรียนรู้หรือแผนการเรียนนั่นเอง
แต่ก่อนที่จะเฉลยก็ให้นิสิตช่วยตอบโจทย์ ๒ ข้อ (แบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 10 คน)
นิสิตตอบมาว่าอย่างไรบ้าง เอาไว้จะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้งครับ....
ปัญหาที่พบ ในแต่ละปีที่ผ่านมาสำหรับวิชาพื้นฐาน คือ
บ่นมามากพอแล้ว การบ่นอาจมีประโยชน์บ้าง แต่บ่นมากไม่ดี เพราะสมองจะคิด negative ไม่สร้างสรรค์อะไร ในเมื่อเป็นมนุษย์ อุปสรรคหรือปัญหาคือบททดสอบ ที่ดีที่สุด
การคิด Positive จะดีกว่า ผมเลยออกแบบกระบวนการเรียนการสอน แบบที่นิสิตจะได้พบในห้องเรียนครับ
นิสิตลองสังเกตวงจรนี้
|
โดยปกติ ในกระบวนการเรียนการสอนแบบเดิม เรามุ่งไปที่ตัว "องค์ความรู้-Body of Knowledge" โดยไม่สนใจ "กระบวนการเรียนรู้-Process of Knowing" และมันก็จะไม่เกิด "การเรียนรู้-Learning" เลย เราจึงมีความรู้สึกว่า
"สิกขา ปรมา ทุกขา" การศึกษาเป็นทุกข์อย่างยิ่ง.... เรียนแล้วเป็นโรคซึมกะทือกันหมด (ตามศัพท์ของท่านอาจารย์หมอประเวศ)....เมื่อไร การศึกษาจะเป็น "สิกขา ปรมา สุขา" กันบ้าง ทางมช. เขาก็มีการสอนแบบ "Edutainment" กันแล้ว แต่ของผมจะเรียกการสอนแบบ "เฮฮาศาสตร์" คือ เรียนแบบสนุกและมีความสุขแต่ให้ได้ศาสตร์ครับ...แต่สอนแบบเรือจ้าง-เรือโยงทำได้ยากจังครับ...
การเรียนเราต้องใช้ หลักการของอิทธิบาท ๔ (คุณเครื่องแห่งความสำเร็จ) ครับ คือ
นอกจากนั้น เราต้องมี "หัวใจนักปราชญ์" ด้วย ประกอบด้วย
ไม่ต้องอธิบายก็พอเข้าใจกันอยู่แล้ว แต่คุณคิดว่า "ข้อไหนสำคัญที่สุด" ในความคิดของคุณ....
ต่อไปเรามาว่ากันด้วยเรื่อง "วิธีเรียนวิชาชีววิทยา" ผมขอเสนอวิธีการเรียน ๓ แบบด้วยกัน ซึ่งควรใช้ทั้ง ๓ แบบ ร่วมกัน
(เสริมทักษะด้วยวิธีการ Capture=จับประเด็น, มากกว่า Lecture=จดคำบรรยาย)
ตัวอย่างแรก...เรียนโดยใช้เครื่องมือ Etymology....
ผมพยายามสอนให้นักเรียน (นิสิต-นักศึกษา) ได้เรียนรู้วิชาชีววิทยาด้วยความเข้าใจแล้วจึง "จำได้" จากความเข้าใจของตัวเอง ลองยกตัวอย่างมาสักเรื่องหนึ่ง เรื่องศัพท์ทางชีววิทยา หรือ ที่บางคนเรียกว่า "technical term" ผมก็เอาไปบูรณาการกับวิชาภาษาอังกฤษว่าด้วยเรื่องคำศัพท์ หรือ Vocabulary
ในภาษาอังกฤษมีวิชาหนึ่งเรียกว่า "Etymology" แปลเป็นไทยว่า "นิรุกติศาสตร์" หรือ วิชาว่าด้วยรากศัพท์ ซึ่งเขาจะมีการเพิ่มศัพท์ให้มากขึ้นดังตัวอย่าง
prefix |
+ Root + |
suffix |
Bio |
degrad |
able |
สิ่งมีชีวิต | ทำให้เล็กลง | ที่สามารถ |
ที่สามารถ | ย่อยสลายได้ | โดยสิ่งมีชีวิต |
ต่อไปก็มาลองดูตัวอย่างอื่นๆ กันครับ โดยดูจาก Link ต่อไปนี้
ตัวอย่างที่สอง...เรียนโดยใช้เครื่องมือ Depict....
Depict : เป็นการเรียนโดยการดูภาพและคำบรรยายภาพ คำว่า "Depict" มาจากคำ 2 คำ คือ คำว่า "Describe" (บรรยายหรือพรรณนา) และ "Picture" (รูปภาพ) รวมความหมายว่า "พรรณนาด้วยภาพ" นั่นเอง หมายความว่า ภาพ 1 ภาพ แทนอักษรได้เป็นล้านตัวอักษร แล้วแต่ว่าเราจะตีความว่าอย่างไร อย่างเช่นภาพตัวอย่างเซลล์ (สัตว์) ดังต่อไปนี้ (แทนคำบรรยายได้สัก 3-4 หน้ากระดาษ A4 เป็นอย่างน้อยครับ)
หนังสืออ่านประกอบ |
ตัวอย่างที่สาม...เรียนโดยใช้เครื่องมือ Mind Map....(ค่อยมาเขียนต่อครับ)
ขอบคุณคัฟอาจารย์...
อาจารย์น่ารักจังเยยยยยยย
จากที่ผมได้เข้าฟังอาจารย์สอน ตอนที่เข้าไปเช็คชื่อนะครับ
ผมคิดว่าอาจารย์สามารถตีกรอบจุดประสงค์ของการเรียนในแต่ละครั้งได้ดีมากเลยทีเดียว แล้วก็สอนให้อยู่ในกรอบนั้นได้อย่างเข้าใจ อย่างตัวผมเอง ซึ่งเคยเรียนมาแล้ว สามารถเดาได้เลยว่าอาจารย์จะออกข้อสอบยังไง ควรจะอ่านหนังสือตรงไหน เป็นสิ่งที่ผมชื่นชมมากครับ และขออาจารย์ตรงนี้เลยว่าขอจำวิธีการสอนของอาจารย์ไปใช้สอนที่พะเยาหลังผมเรียนจบครับ (ได้ทุนอาจารย์พะเยาครับ)
และจากที่ผมวิเคราะห์เหตุที่ทำให้นิสิตไม่สนใจเรียนให้ฟังนะครับ
1. ลอกการบ้านที่จะส่งในคาบต่อไป (โดยเฉพาะเอกสถิติ)
2. เข้าเรียนสาย มาไม่ทันตั้งแต่เริ่มสอน เลยพาลไม่สนใจเรียนต่อทั้งคาบ รอฟังที่เพื่อนอัดเสียง หรือรอแลคเชอร์เพื่อน
3. อาจารย์พูดเสียง monotone ชวนให้หลับ (อันนี้น้องบอกนะครับ)
4. ฉันไม่ใช่เอกชีวะ จะให้เรียนไปทำไม(วะ)
พอดีมาโหลดเอกสารประกอบการสอยของอาจารย์ เลยแวะมา comment ทีให้ซักหน่อยครับ
เรียน TA ธีรภัทร
พอมาหาอะไรอ่านเล่นๆ ไม่รู้ทำไม???
ต้องมาพบblogของอ.ทุกครั้งเลย
หนูไม่ได้เรียนที่ม.ที่อ.สอนหรอกนะค่ะ555+
แต่เรียนชีววิทยาเหมือนกัน เคยอ่านblogของอ.เมื่อตอนปี1
เจออีกทีก็ปี2 ตอนนี้ก็จะขึ้นปี3แล้ว
หนูก็กำลังรู้สึกเบื่อๆ ที่จะเรียนแบบท่องๆ แล้วก็สอบ
หนูไม่ชอบวิธีการเรียนแบบนี้เหมือนกัน
หนูจะชอบอ่านก็ต่อเมื่อหนูอยากอ่านแล้วอยากรู้เท่านั้น
คิดว่ามันจะทำให้เรารู้สึกภูมิใจแล้วก็จะจำได้เองมากกว่า