เมื่อเป็นพระ รึ! ริจะทำวิจัย


...ทั้งทบทวนดูแล้วว่างานเกี่ยวแก่ศาสนาพุทธบริสุทธิ์นั้นหาได้น้อยนักในวงวิชาการ ทั้งพระพุทธศาสนาก็ออกจะเป็นศาสตร์แห่งเหตุและผล อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ทุกถ้อยกระบวนความ...

คราวที่แล้วบ่นๆ ไปว่า ปฐมเหตุและเป้าประสงค์ของสวนสาส์นแห่งนี้มีความเป็นมาประการใด ในตอนนี้จะขอบ่นต่อไปถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเอง และเรื่องที่ริจะทำในอนาคตอันใกล้นี้

                ความจริงบนโลกเสมือนแห่งนี้ ถ้าไม่บอกบางท่าน (ผู้อ่าน) ทั้งหลายอาจจะไม่รู้เลยว่าตัวอาตมาภาพ (คำเรียกเต็มยศ) หรือที่ชอบแทนตัวเองกับญาติโยมทั่วไปเสมอว่า “เรา” นี้เป็นพระ (คำว่า เรา แปลกลับบาลีว่า อาตมา เหมือนกัน) บวชมาแล้วล่วงวรรษา ๓ ในสังกัดธรรมยุตนิกาย นิกายใหม่ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อคราวยังทรงเพศบรรพชิต ตรงกับแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ชื่อเต็มของเราคือพระธวัชชัย ฉายา นนฺทธมฺโม (อ่านว่า นัน-ดะ-ธัม-โม) โคตร วงศ์กัณหา แถววัดเขาเรียกกันตาม ภาษาป่า ว่า “ครูบากี้” หรือ “ครูบาธวัชชัย” ทั้งนั้น

อันคำว่าครูบานี้เป็นมาอย่างไร มีหลักเกณฑ์วิธีการเรียกอย่างไร และครูบาทางอีสานกับทางเหนือเหมือนหรือต่างกันอย่างไร โอกาสหน้าถ้าไม่ลืมเสียระหว่างทางจะมาเขียนเล่าสู่ฟัง (หรือใครสนใจใคร่รู้พิเศษก็แจ้งความจำนงค์มาเถิด) เป็นภิกษุ (แปลว่าผู้ขอ-ขอทานอาหาร) ในสังกัดวัดป่าชัยวารินทร์ อำเภอบ้านไผ่ เมืองแก่นขอน จังหวัดขอนแก่น ว่ากันให้เข้าใจง่าย (แต่ไม่ค่อยถูกเผงเท่าไหร่) ก็คือ เป็นพระป่าในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หรือที่เราทั้งหลายเรียกกันด้วยความสำนึกบุญคุณและเคารพเทอดทูนเหนือเกล้าว่า “พ่อแม่ครูจารย์หลวงปู่ใหญ่มั่น” แต่เราเองเป็นพระป่าชั้นเลวรุ่นหน่อแตกแยกกอมาไกลวัตรปฏิบัติครูบาร์อาจารย์ (คำนี้ถ้าไม่ลืมก็จะเก็บมาเขียนเล่าในคราวหลัง) มากโขแล้ว ...เท่านี้หรือจะพอเทียบขี้ฝุ่นเบื้องเท้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์สมัยโน้นได้ (ถ้าไม่งั้นก็คงไม่มานั่งเขียนอยู่อย่างนี้หรอก) เพียงแต่มีข้อวัตรบางประการที่พอสืบสาวความดีงามที่ท่านพาปฏิบัติมาได้อยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เทียบไม่ได้กับการปฏิบัติแบบเอาตายเข้าแลกของครูบาอาจารย์รุ่นก่อน เราก็เพียงแค่อาศัยพูดปากไปว่าได้สืบเชื้อสายการปฏิบัติ (ที่ยังเหลืออยู่) ในเลือดเนื้อเชื้อไขวงศ์ตระกูลขององค์ท่านเท่านั้นเอง แต่เรื่องคุณธรรม ศีลวัตร ปฏิปทา มิได้หาญกล้าไปเทียบครูบาอาจารย์องค์ใดเลย ถ้าหากไม่เพื่อให้ท่านเข้าใจโดยง่ายแล้ว...ไม่กล้าแม้แต่เอ่ยอ้างนาม

                ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมส่วนใด ที่ข้าพเจ้าล่วงไปแล้วด้วยถ้อยคำเหล่านี้ไซร้ ด้วยเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี หากจะเป็นการมิบังควรแล้วขอครูบาอาจารย์ทั้งหลายจงอดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้นแก่ศิษย์ผู้เขลานี้ด้วยเทอญ

                ย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง ก็ในเมื่อบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านสั่งสอนมาอย่างนี้ว่า การเรียนเรื่องโลกย์ๆ เรียนไปยังไง เรียนให้ตาย ผลที่ได้มันก็ล้วนเป็นเรื่องโลกย์ๆ ทั้งสิ้น เรียนไปแล้วชาตินี้ตายไปเกิดชาติหน้าก็ต้องมาเริ่มเรียนใหม่อีกอยู่ดี อันเรื่องการปฏิบัติชอบ ความเพียรชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ฯลฯ และการศึกษาในธรรม (หมายถึงศึกษาโดยการปฏิบัติให้รู้จริง) ศึกษาในกายในจิตของตนนี้เท่านั้นจึงจะเป็นทางนำไปสู่การสำเร็จ ความรอบรู้ที่แท้จริง ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับมาดูวัตรปฏิบัติของตัวเองแล้วยังห่างชั้นครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ เยอะ จึงมาคิดอย่างนี้ว่า เมื่อทำอะไรก็ยังคงเหลวๆ เป๋วๆ อยู่อย่างนี้ จะหาอะไรมาเป็นเครื่องรับประกันเราได้เล่า ว่าชาติหน้าจะไม่ได้กลับมาเกิดใช้เวรใช้กรรมต่อไปอีก อย่ากระนั้นเลย แม้นอานิสงส์แห่งการมุ่งสู่มรรคผลอะไรมีไม่พอเพียงให้ไปถึงแล้วไซร้ นอกจากบุญกุศลที่จะเฝ้าพยายามสะสมรักษาอยู่เสมอแล้ว อะไรหนอจะไม่ทำให้ชีวิตเราสูญเปล่าในปัจจุบันชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเลิศในสัตว์ทั้งหลายทั้งที

                จึงได้คำตอบอย่างนี้ว่า ก็ความรู้นั้นมีอยู่ และมันย่อมไม่ลอยมาเข้าหัวเราเองได้อย่างเชื้อวรรณโรคเข้าสิงปอดเป็นแน่ จำเป็นอยู่ที่เราจะต้องทำการค้นคว้าหามันมาใส่เข้าไปเอง อย่ากระนั้นเลยขณะที่พอมีกำลังอยู่นี้เราควรจะมุ่งหน้าเรียนวิชาหาความรู้ไว้บ้างดีกว่า ปะเหมาะเคราะห์ดีก็จะได้ใช้ความรู้วิทยาการที่ได้สะสมมานี้ให้เกิดประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นวิทยาทานเป็นอานิสงส์ได้ไว้แก่ตัวบ้าง ไม่เสียแรงที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาอันเลิศแล้วในศาสนาทั้งหลาย (ด้วยหลักแห่งเหตุและผล) โดยไม่ตายทิ้งไปเปล่าๆ แถมทิ้งสังขารร่างกายอันโสมมนี้ไว้เป็นขยะปฏิกูลรกโลกเป็นบาปเป็นกรรมเข้าไปอีก

                ก็เมื่อระเบียบปฏิบัติการเรียนมหาบัณฑิตทั้งหลายส่วนมาก ก่อนจะจบการศึกษาได้เขาต้องทำวิจัยเรื่องหนึ่ง เขียนเป็นเล่มวิทยานิพนธ์ประดับโลกไว้ทั้งนั้น จึงได้มาคิดตรองอย่างนี้ว่า กระไรเลยก็เมื่อเราเป็นพระ ริจะทำวิจัยสักเรื่อง มีอะไรที่เราพอจะทำและสมควรทำได้บ้าง เบื้องแรกในหัวอกหัวใจเราก็ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า ขอทำงานนี้ให้เป็นการรับใช้กิจธุระทางศาสนาเถิด จะได้ไม่เสียชาติที่ได้บวชได้เรียนได้ศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัยอันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้วแก่สัตว์ทั้งหลาย

ทั้งทบทวนดูแล้วว่างานเกี่ยวแก่ศาสนาพุทธบริสุทธิ์นั้นหาได้น้อยนักในวงวิชาการ ทั้งพระพุทธศาสนาก็ออกจะเป็นศาสตร์แห่งเหตุและผล อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ทุกถ้อยกระบวนความ (ในตัวบทที่เป็นหลักธรรม) ก็เลยปลงใจได้ว่าจะทำงานวิชาการเกี่ยวแก่พระพุทธศาสนานี่แหละประดับไว้ในบรรณพิภพ

                หะหนึ่ง ได้ลองเข้าไปปรึกษาผู้ใหญ่-พระเดชพระคุณเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ ผู้เป็นอาจารย์โดยสายการกำเนิดในเพศบรรพชิตนี้ คือ เป็นพระกรรมวาจาจารย์สวดให้ตั้งแต่วาระแรกก้าวเข้าสู่ร่มผ้ากาสายะ ท่านเป็นเสียงสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแนวคิดนี้อีกแรงหนึ่ง ท่าเล่าให้ฟังว่ามีลูกศิษย์ในความปกครองหลายคนถูกส่งไปเรียน (ในระดับเดียวกัน) บางรูปแหกไปทำวิจัยเรื่องขยะ บางรูปไปทำเรื่องภาษาวรรณคดี บางรูปกระโดดข้ามไปวิจัยเรื่องหมาเรื่องแมวก็มี--ไม่รู้คิดได้ยังไง ถึงมันจะพอมีประโยชน์แก่โลกเขาอยู่บ้าง แต่นั่นโยมเขาทำกันจนเกลื่อนไปหมดแล้ว ถึงเป็นพระไปทำมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขา พูดง่ายๆ ท่านว่ามันไม่ประเทืองปัญญาเท่าไหร่ (ไอ้เราเองถึงแม้จะบอกท่านไปว่าอยากทำเรื่องศาสนาโดยตรง ก็ไม่ได้รับประกันหรอกว่ามันจะประเทืองปัญญาได้เท่าไหร่) แต่อย่างไรเสียก็รู้แก่ใจตัวเองดีอยู่แล้วว่า จะพยายามทำเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ (ไม่ใช่ทำเพื่อจบ) เพื่อสนองคุณพระพุทธศาสนา เพื่อคุณข้าวน้ำที่ศรัทธาญาติโยมถวายการเลี้ยงดูตลอดมา และจะทำเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญาเต็มกำลังความสามารถ

                เมื่อปลงใจได้ดังนี้แล้ว ก็เริ่มหันมาพิจารณาตัวเองถึงความถนัด ความเหมาะสม และความสามารถพื้นฐานที่มีอยู่ ก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาขัดข้องหัวใจอันใดอีกต่อไป เพราะถึงเรียนไปอย่างไร และอนาคตภายหน้าตัวเราเองยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร (พระพุทธองค์ทรงสอนว่าจงใช้สติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันเท่านั้น) ก็รู้อยู่เต็มหัวอกหัวใจแล้วว่า จะทำไปเพื่อสนองคุณชาติกำเนิดที่อุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้แล้วให้สมภาคภูมิ

                                                     ###########

หมายเลขบันทึก: 200693เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2008 18:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คือ นักวิจัย ที่ค้นคว้าทดลอง

ด้วยตัวพระองค์เอง

จากการเรียนรู้จากคนอื่น

จนมาสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง

ลองผิดลองถูก

จนสุดท้าย

พระพุทธองค์ พระบรมศาสดา

จึงสำเร็จพระโพธิญาณ

ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง

นี้คือ

ผลการวิจัยที่สุดยอดที่สุด

ตั้งแต่มีนักวิจัยเกิดขึ้นในโลก

ไม่มี งานวิจัยเล่มใด ที่จะประเสริฐสุด

และเท่าเทียมกับงานวิจัยเล่มนี้

เพราะนี้คืองานวิจัย

ที่วิจัยด้วยความยากลำบาก

เพื่อทำให้มนุษยชาติ

ได้หลุดพ้นจากวัฎฏสังขาร

นี้คือความยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

สาธุ

และ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท