ต่อไปนี้และต่อจากนี้ไป จะขอโอกาสท่าน (ผู้อ่าน) ทั้งหลาย อุปโลกน์ตัวเองขึ้นเป็นคอลัมน์นิสต์ หมายความว่า จะขอตั้งตัวเองเป็นคนปลูกต้นไม้แห่งสวนสาส์นนี้เป็นประจำแต่นี้ไป
แรกทีเดียวเรา (ผู้เขียน) ไม่ได้ตั้งใจกำหนดเรื่องให้ตายตัวไปเสียทีเดียวว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรโดยเฉพาะ กะว่าคิดอะไรได้ เห็นอะไรมา หรืออะไรกำลังอยู่ในความสนใจ ก็จะฟาดออกมาให้อ่านกันไปแบบสบายๆ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องประดิดประดอยให้ยุ่งยากซับซ้อน เอาให้อ่านง่ายอ่านสบายเข้าไว้เป็นพอ จึงได้ตั้งชื่อคอลัมน์ไว้แบบซื่อๆ เชยๆ เฉยๆ ว่า “บ่นไปตามเรื่อง” ตามอารมณ์ของคนอยากบ่น คิดว่าปลอดภัยและเป็นไทแก่ตัวเองดี ไม่ต้องเกร็งต้องกลังว่าเขียนอะไรไปจะหลุดคอนเซ็ปต์
ต่อมาเริ่มเขียนตุนไว้สองสามตอน ก็มีความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวสมองน้อยๆ นี้ว่า เออก็...ในเมื่อเราก็กำลังเรียนอยู่ (ปริญญาโท วัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หลักสูตรนี้ขึ้นกับสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน) กำลังศึกษาค้นคว้า เสาะหาความรู้จากหลายแหล่งหลายที่มา เพื่อนำมาใช้กับงานของเรา กระไรเลย ทำไมเราไม่นำความรู้ความเห็นในขณะเวลานั้นๆ มาเรียบเรียงลงไว้ในนี้ซะเลยล่ะ
ก็เมื่อ ประโยชน์ที่ได้แลเห็นอยู่รำไร ทั้งจะได้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลความรู้ที่ผ่านเข้ามาในช่วงขณะเวลานั้นๆ นับจากนี้ต่อไปหนึ่ง ทั้งได้จะได้เห็นพัฒนาการทางด้านความคิดความอ่านของตัวเอง (หากว่าจะพอมี) เกิดขึ้นมาบ้างหนึ่ง และเพื่อเก็บไว้เป็นอนุสรณ์สาส์นพอเป็นเครื่องระลึกนึกถึงในกาลข้างหน้า และเผลอๆ ถ้าสิ่งที่เขียนไปจะพอมีสาระความรู้พอเป็นวิทยาการวิทยาทานแก่ผู้อ่านได้บ้าง ก็จะเป็นการเอื้อเฟื้อต่อผู้ที่ใจดีเข้ามาเยี่ยมยามสวนสาส์นแห่งนี้อีกทางหนึ่งด้วย
ก็แล เมื่อเล็กเห็นประโยชน์ลิบๆ อยู่รำไรอย่างนี้ จึงได้เริ่ม “ลงสมอง” คิดว่า เอาล่ะต่อจากนี้ไปเราจะปลูกสร้างที่ตรงนี้เล่นๆ เรื่อยเปื่อยไปไม่เป็นท่า กระไรเลยควรจะหาทางพัฒนาในจงดี...ดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้แล้วกัน
ย้อนกลับไปที่ปฐมเหตุแห่งการเกิดสวนสาส์นแห่งนี้ สารภาพว่าแรกทีเดียวทำขึ้นเพียงเพื่อเป็นงานชิ้นหนึ่งของอาจารย์ผู้สอนที่สั่งเป็นปกาศิตลงมาทีเดียวว่าทุกคนต้องมีบล็อกนำเสนองานของตัวเอง ศิษย์ทั้งหลายด้วยความกลัวคะแนนจะตกหล่นต่างก็เร่งทำกัน ส่วนตัวเราเองพอลงมือทำความคิดกลับฟุ้งไปไกลเกินขอบเขตงานอีกว่า...เอาไว้เป็นพื้นที่บ่นเรื่องที่ “เป็นสาระ” ในช่วงเวลาต่อจากนี้จะดีกว่าไหม
หลังจากนั้นก็กลับมานั่งคิดให้ฟุ้งไปเพิ่มเติมอีกว่า ก็ในเมื่อเรากำลังศึกษาเรื่องวัฒนธรรม จำเป็นยิ่งต้องทำวิจัยสักเรื่องเพื่อการจบ กระไรเลยในเมื่ออย่างไรเสียเราก็หนีเรื่องวิจัยนี่ไปไม่พ้นแน่ๆ ก็แลทำไมเราไม่เริ่มเขียนตั้งแต่ยังไม่เริ่มตั้งไข่วิจัย ไปจนถึงเมื่อวิจัยเล่มนี้คลอดซะเลยล่ะ
คิดได้ดังนี้แล้ว ต่อมาจึงได้เพิ่มวลีลงไปในชื่อคอลัมน์อีกหน่อยหนึ่งว่า “...เมืองวิจัย...” ส่วนคำสร้อยต่อท้ายอย่าได้ใส่ใจเลย เพราะหาสาระอะไรมิได้ดอก เป็นเพียงแถมเข้ามาโก้ๆ หรือแม้นจะพอมีเหตุผลลึกๆ ในใจอยู่บ้างก็ไม่ขออธิบายไว้ ณ ที่นี้ หรือถ้าโชคดีผู้อ่านอ่านไปอาจจะพบเนื้อหาที่ว่าแทรกแซมอยู่ในเนื้อหาส่วนอื่นโดยไม่ตั้งใจ ก็ให้รู้ไว้ก่อนล่วงหน้าเถิดว่า...พลาดพลั้งเผลอไผลไป แต่ก็คงยืนยันจะใส่สร้อยท้ายไว้เหมือนเดิมว่า “...มหา’ลัย ก็แค่นั้น” เท่ดีออก
เอาเป็นว่าสำหรับอารัมภาคนี้ก็บ่นไปตามเรื่องของเหตุแห่งการก่อเกิด ให้ผู้อ่านไปรู้จักพอหอมปากหอมคอกันก่อน เอาไว้คราวหน้าจะมาบ่นเพ้อต่อไปสักหน่อยว่าตัวเรานี้คือใคร...
โอ้น้อท่านธวัชชัย นัน ท่านโดย สะมะคักแท้ควมคึดอ่านนำเสนอ ให้ตกแต่งคึดทำ ต่อเติมต่อเนื่อง มีอันใดแสดงได้ นำเสนองามงด รจนาเฮียงฮ้อยแต่งแก้ ตามประสงค์เด้อ โดยข้าน้อย เป็นบ่อนตั้งต่อคึด แสดงเหตุและผล บ่ให้มีทางจน แก้ไขบ่อนออก พู้นแล้ว บ่ให้โอ้อ่าวโอ โอนอไผทคึด ฮั่นเด กระบวนทัศน์หลากล้น เสนอได้คักหลาย ให้คึดค้นคว้าเสนอออกเผยแผ่ เป็นเวทีบรรยายแจกญายอ่านจุ้ม สมไผทคึดได้ทุกอย่างงามคัก ตั้งแต่นี้เริ่มต้น ต่อเนื่องตลอดไป โดยข้าน้อย
อิศรา ประชาไท 6 สิงหา 51