ครูนอกระบบ
นาง ณัฐนิธิ อารีย์ อักษรวิทย์

<เล่าสู่กันฟัง>การดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง


ชำระล้างจิตใจ
การดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง
โลกปัจจุบันนี้ มันมีความสับสนมาก มีความยากแก่การที่จะดำรงจิตไว้ให้ปกติ หากดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ไปในทางของความถูกต้องจึงรู้สึกเป็นสุข เราดำรงจิตไว้ถูกต้องหรือดำรงจิตไว้ผิดเคยได้คิดกันบ้างไหม
ผู้เขียน: พุทธทาสภิกขุ

 

        การพูดกันครั้งสุดท้ายนี้เหมือนกับว่าเป็นการปิดประชุม เป็นการลา หรือรับการลา ด้วยการปราศรัยเล็กๆ น้อยๆ พร้อมกันไปกับการสรุปเรื่องที่บรรยายต่างๆ คือจะกล่าวว่า เรื่องทุกเรื่องที่เราได้ฟัง ได้ยินได้พูดกันมาแล้วนี้ อาจจะสรุปได้เป็นคำพูดสั้นๆ ว่า เป็นเรื่องการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ขอให้ช่วยจำว่า พุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น ก็คือการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ก็ย่อมจะได้รับผลอยู่ในตัวความถูกต้องนั้นเอง ขอให้เราพยายามส่วนที่เป็นการดำรงจิต แล้วก็ดำรงจิตไว้ให้ถูกต้อง

         พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นใจความ สรุปได้สั้นๆ ว่า ถ้าหากดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง จะได้รับ ประโยชน์ ความสุขทุกอย่างทุกประการ เหมือนกับว่า ญาติมิตรสหาย คนหวังดีทั้งหมด ช่วยเหลือเรา ช่วยกันทำให้กับเรา แล้วถ้าเราดำรงจิตไว้ผิด เราก็จะสูญเสียประโยชน์ มีความเสียหาย ได้รับความทุกข์ เหมือนกับว่า หากคนที่เป็นข้าศึกศัตรู คู่อาฆาตทั้งหลายทั้งหมดเค้ามารุมกันกระทำให้แก่เรา คิดดู
มันอยู่ที่ว่าเราดำรงจิตไว้ถูกต้องหรือดำรงจิตไว้ผิด ถ้าถูกต้องได้รับประโยชน์ ถ้าดำรงไว้ผิดก็สูญเสียประโยชน์ จึงว่าเรื่องทั้งหมดมันอยู่ที่การดำรงจิตให้ถูกต้อง เราจะเรียนรู้เรื่องอะไร เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องอริยสัจ เรื่องอะไรทั้งหมดทุกเรื่อง มันก็มาสรุปลงที่เพื่อการดำรงจิตไว้ถูกต้อง
จะดำรงจิตอย่างไร รายละเอียดก็มีมาก เพราะว่าจะมีความรู้ละเอียดปลีกย่อยนั้นมาก แต่ก็อาจจะสรุปความให้สั้นๆ ได้ว่า มันเป็นการดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง

       ทีนี้ก็จะเปรียบเป็นอุปมา ให้จำง่าย และเข้าใจง่ายได้อีกสักคำหนึ่งว่า เหมือนกับขี่รถจักรยานจิต ขอให้ทุกๆ คนเข้าใจ ทำในใจเหมือนกับว่าเราขี่รถจักรยานจิต ทำไมจึงเปรียบกับการขี่รถจักรยาน เพราะว่ามันคล้ายกันมาก เกือบจะทุกอย่างทุกประการ นับตั้งแต่ว่า การขี่รถจักรยานนั้นน่ะ มันก็มีที่หมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนซักแห่งหนึ่ง เราขี่รถจักรยานจิต ก็มีที่หมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนซักแห่งหนึ่ง คือความดับทุกข์ หมดทุกข์สิ้นเชิงที่เรียกว่าพระนิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง


        รถจักรยาน จะขี่ได้ ขี่ไปได้นั้นน่ะ มันมีความหมายสองความหมายซ้อนกันอยู่ คือ ควบคุมรถจักรยานได้ไม่ให้ล้ม นี่ตอนหนึ่ง และก็ออกแรงทำให้มันวิ่งไป แล่นไป เคลื่อนที่ไป นี่อีกตอนหนึ่ง ถ้ามันล้มซะ มันก็ไปไม่ได้ ถ้าไปได้ก็คือไม่ล้ม ดังนั้น ที่ว่าไปได้ ไปไม่ได้นั้นมันเนื่องกัน อย่างที่จะแยกกันไม่ออก ถ้ารถจักรยานมันมีการพุ่งไปข้างหน้า มันก็ไม่ค่อยมีโอกาสจะล้ม เราก็ต้องระวังไม่ให้ล้มและให้พุ่งไปข้างหน้าได้ การที่จะไม่ล้มและการที่จะพุ่งไปข้างหน้าได้เนี่ยมันแฝงกันอยู่

        เรื่องขี่รถจักรยานจิตก็เหมือนกัน ต้องทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในลักษณะที่เป็นสมาธิ และให้มันพุ่งไปข้างหน้า คือรู้แจ่มแจ้งในอะไรได้ไกลออกไป ซึ่งเป็นลักษณะของวิปัสสนา หรือปัญญา เรื่องเกี่ยวกับจิตแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนสมาธิหรือสมถะ คุมจิตให้อยู่ภายในอำนาจและตั้งมั่นอยู่ได้ พร้อมที่จะทำงานของมัน แล้วก็เป็นขั้นต่อไปก็คือ วิปัสสนาหรือปัญญาที่มันจะแล่นไปด้วยกระแสแห่งความรู้ รู้ๆๆๆ จนถึงที่สุดมันก็หลุดพ้น และปล่อยวาง นี่มันเหมือนกันอย่างนี้

         สังเกตดูก็เข้าใจว่า ทุกคนน่าจะขี่รถจักรยานเป็น เพียงแต่จะไม่สังเกตเท่านั้นเอง ทีนี้มันเหมือนกันในข้อที่ว่ามันล้มง่าย นี่หมายถึงรถจักรยาน 2 ล้อ ซึ่งมันล้มง่าย ตามลำพังมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ โดยไม่มีขาค้ำ ลำพังสองล้อมันตั้งอยู่ไม่ได้มันล้มง่าย มันล้มเก่ง แล้วมันก็ต้องบังคับหรือบังคับยาก จิตนี่ก็เหมือนกัน มันล้มง่าย คือมันฟุ้งซ่าน มันออกนอกลู่นอกทางง่าย คือมันบังคับยาก จึงเปรียบกับรถจักรยาน มันล้มง่ายอย่างไร จิตก็ล้มง่ายอย่างนั้น เราก็ต้องฝึกฝนกันจนบังคับมันได้ และขี่มันได้

         และที่มันยังเหมือนกันอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อสุดท้าย ซึ่งสำคัญมากนั้นก็คือข้อที่ว่า มันสอนกันไม่ได้ จะให้คนอื่นสอนไม่ได้ มันต้องสอนด้วยตนเอง ด้วยตัวมันเอง นี่คนไม่ค่อยเชื่อ แล้วหาว่าคนพูดเนี่ยโง่ หลับตาพูด คือเราบอกเค้าว่าการขี่รถจักรยานมันสอนกันไม่ได้ คนโง่นั้นก็เถียงว่า อ้าวก็มีคนมาช่วยจับ ช่วยยึด ช่วยแนะ ช่วยอธิบายตอนแรกก่อนไม่ใช่หรือ เราบอกว่า นั่นมันก็จริง แต่ว่ามันไม่สำเร็จประโยชน์ การสอนนั้นไม่สำเร็จประโยชน์ มันเพียงแต่บอกให้รู้ว่าทำยังไง พอสอนเสร็จ อธิบายให้เสร็จ พอให้ขึ้นขี่มันก็ล้มซะงั้น พอขึ้นขี่มันก็ล้ม จะจับเสือกไป มันก็ไปล้ม ตอนนี้แหละจะสอนกันยังไงมันก็สอนไม่ได้ จะให้มีใครมาสอนให้เราจับมือของรถแล้วทำให้เกิอดบาลานซ์ถูกต้องไม่ล้มไปได้เลยเนี่ย ทำไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครสอนได้ ขอให้เข้าใจตอนนี้มากๆ อย่าไปโง่เหมือนใครบางคน หรือคนแทบทั้งหมด มันหวังแต่ให้คนอื่นสอนเรื่อยไป อะไรสักนิดนึงก็จะให้คนอื่นสอนเรื่อยไป จะฟังจะเรียนให้เสียตะพึด ไม่พยายามที่จะสอนตัวเอง รู้ตัวเอง

         ถ้าถามว่าการจะขี่รถจักรยานเป็นใครมันสอนให้ เราก็ต้องบอกว่าให้รถจักรยานนั่นแหละมันสอนให้ หรือว่าการล้มของรถจักรยานนั่นแหละเป็นสิ่งที่สอนให้ การล้มลงไปทีนึงมันสอนให้ทีนึง ล้มอีกทีนึงก็สอนให้อีกทีนึง ล้มไปอีกทีก็สอนอีกทีหนึ่ง จนรู้จักทำความสมดุล ไม่ล้ม ทีนี้มันก็ไปได้ง่อกแง่กๆ ๆ เหมือนกับคนเมา ทีนี้ใครจะสอนได้อีกล่ะ การที่จะขี่ให้เรียบ มันก็ไม่มีใครสอนได้นอกจากรถจักรยานนั่นเอง การที่มันไปง่อกแง่กๆๆ เนี่ยมันสอนให้ทุกที จนกระทั่งเรารู้จักทำสมดุล มันก็ไม่ง่อกแง่ก มันก็ไปเรียบ รู้จักใช้กำลังผลักดัน ถีบให้มันพอดี กับการที่จะบังคับมือสองข้างให้มันสัมพันธ์กันดีเหมาะสมกันดี แล้วมันก็จะขี่ไปได้เรียบตามต้องการ

 

          ชั้นที่ละเอียดปราณีตสุดยอด คือจะขี่รถจักรยานชนิดที่ปล่อยมือเลย เลี้ยวได้ตามต้องการ อาตมาทำได้ ไม่ใช่ว่าดี ตอนเป็นฆราวาสนี่ขี่รถจักรยานปล่อยมือได้นะ ตอนขี่ได้ด้วยมือจับแล้วจะมาเป็นปล่อยมือนี่ไม่มีใครจะสอนกันได้ มันเป็นการใช้ลำตัว สะเอว น้ำหนัก ศูนย์ถ่วงเนี่ยบังคับ และมันต้องไปเร็วๆ ด้วย แม้กระทั่งขี่รถจักรยานปล่อยมือ เลี้ยวได้อะไรได้ ตลอดเวลานี้ไม่มีใครสอนได้นอกจากรถจักรยานนั้นเอง ถ้าจะพูดให้ถูกมันก็ต้องเรียกว่าการล้มนั่นเอง ล้มเจ็บมากๆ ก็ยิ่งสอนมาก จนมันไม่ล้ม มันก็สำเร็จประโยชน์ในการขี่รถจักรยาน ไปจนถึงจุดหมายที่ตัวต้องการได้ โดยไม่มีใครสอนได้


        นี่เรื่องฝึกจิตก็เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าใครมันจะสอนกันได้ อาตมานะจับจูงอะไรกันอยู่อย่างนี้ มันก็ได้แต่บอกเรื่องว่าจะต้องทำอย่างไร เหมือนกับว่าแนะให้ทำ ให้จับรถจักรยานอย่างไร ให้ถีบยังไง อะไรยังไง แนะได้บ้างนะ ไม่ใช่จะไม่แนะได้เสียเลย แต่ว่ามันจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลยด้วยการแนะเพียงเท่านั้น มันก็ต้องขึ้นขี่รถจักรยานจิต แล้วมันก็ล้มให้ดู คือทำไม่ได้ จิตมันละจากอารมณ์ คือไม่แน่วแน่เป็นสมาธิ เราเรียกว่าเหมือนกับล้ม

       เขามีหลักว่าให้จิตนี้กำหนดลงไปที่อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นเรื่องพุทโธหรือจะเป็นเรื่องหายใจออก-เข้า หรืออะไรก็ตาม มันมีอารมณ์ หรือจะเรียกว่านิมิตก็ได้สำหรับจิตกำหนด พอมีการกำหนดอารมณ์ก็เหมือนขึ้นขี่จักรยานแล้วในก็ล้ม คือจิตไม่กำหนด จิตมันเถลไถลไปซะที่อื่น คือมันบังคับไม่ได้ ทีนี้ก็ต้องต่อสู้กัน มันล้มอย่างไร มันไม่ได้ด้วยเหตุใด ต้องเอาอันนั้นมาเป็นครูสอน ทำการสังเกตให้ละเอียดลออว่าต้องทำอย่างนี้ แล้วลองทำอย่างนี้ แล้วลองทำอย่างนี้ แล้วลองทำอย่างนี้ ทุกๆ ทีที่มันล้ม หรือมันละจากอารมณ์ มันไปซะที่อื่น จนกระทั่งค่อย ๆ พบสิ่งที่ลึกลับทีละนิดทีละหน่อย

       จนสามารถบังคับจิตให้มันกำหนดอยู่ที่อารมณ์ได้นานๆ เป็นที่พอใจ นี่เรียกว่าสำเร็จในขั้นที่เป็นสมถะหรือสมาธิแล้ว เพียงแต่เรารู้จักทำให้มันไม่ล้มแล้ว ทีนี้มันยังไม่ไป มันยังไม่พุ่งไปข้างหน้า มันยังเปะๆ ปะๆ จึงต้องเลื่อนขึ้นไปสู่ระดับที่เรียกว่าปัญญา พิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้ เมื่อรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปจนตัดกิเลส จนบรรลุมรรคผลนิพพาน เรื่องของจิตมันจึงมีสองตอน คือตอนที่เป็นสมาธิ นี่สามารถบังคับจิตได้ และที่เป็นปัญญา ใช้จิตที่เป็นสมาธิแล้วนั้นพิจารณา จนเห็นแจ้ง เรียกว่าดูๆๆๆ ดูจนเห็นแจ้ง ไม่ใช่ว่ามามัวคิดนึกตามวิธีเหตุผล ตรรกะ ปรัชญา เปล่าๆ ทั้งนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงที่สุดแล้วก็ดู เพ่งดูลงไปที่สิ่งที่เราจะต้องเพ่งดู เช่นว่าทำลมหายใจจนเป็นจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็เพ่งดูลมหายใจที่มันไม่เที่ยง หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นอนัตตา หรือเพ่งดูเวทนาที่เป็นสุขที่เกิดมาจากสมาธินั้นว่ามันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็ดูจิตนั้นเอง ดูตัวจิตนั้นเอง ว่ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

         จนเกิดความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามากพอ แล้วจิตมันก็ถอนจากความยึดมั่น ที่เคยยึดมั่นในสิ่งใดมาแต่ก่อน ก็ยังต้องดูอีกนั่นแหละ ดู อย่าไปคิดนำ ถ้าไปคิดนำแล้วมันเป็นเรื่องนอกลู่นอกทางเป็นเรื่องผิดไปได้ไม่ทันรู้ เพราะความจริงหรือของจริงนั่นน่ะ มันเป็นสิ่งที่เราต้องดู ไม่ใช่เราไปคิดนำมัน มันเป็นจริงอยู่ในตัวมันแล้ว ก็ดูให้เห็นควมจริง ตอนนี้แหละก็สำเร็จ ก็เห็นความจริง เห็นความจริงแล้วจิตก็เบื่อหน่ายจากการยึดมั่นถือมั่น คลายความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เรียกว่าหลุดรอดนั้น ถ้าท่านผู้ใดสนใจในพุทธศาสนา ถึงขั้นที่ว่าถึงหัวใจของพุทธศาสนา นั่นคือต้องศึกษาและปฏิบัติกัน จนเข้าใจเรื่องนี้ เรื่องการดำรงจิตไว้ถูกต้อง ความถูกต้องในขั้นแรกก็เป็นสมาธิได้ นี่ก็สบายมากแล้วนะ กิเลสไม่รบกวน ไม่หมดกิเลส แต่กิเลสไม่รบกวน เป็นอยู่ได้ด้วยความรู้สึกที่เป็นสุขเพราะ กิเลสไม่รบกวน คือ อยู่ในสมาธิ จะคิดนึกอะไรก็คิดได้ดี จะเรียนหนังสือก็เรียนได้ดี จะทำการทำงานก็ทำด้วยความสนุกสนาน ด้วยจิตที่มันเป็นสมาธิ นี่ตั้งจิตไว้ถูกต้องในขั้นแรก คือให้มันมีสมาธิได้

หมายเลขบันทึก: 196957เขียนเมื่อ 27 กรกฎาคม 2008 16:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท