การจัดหลักสูตรสถานศึกษา
1. หลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาเป็นชุมชนของการแสงหาความรู้
สถานศึกษาจึงต้องมีหลักสูตรของตนเอง คือหลักสูตรสถานศึกษา
ประกอบด้วยการเรียนรู้ทั้งมวลและประสบการณ์อื่น ๆ
ที่สถานศึกษาแต่ละแห่งวางแผนเพื่อพัฒนาผู้เรียน
โดยจะต้องจัดทำสาระการเรียนรู้ทั้งรายวิชาที่เป็นพื้นฐานและรายวิชาที่ต้องการเรียนเพิ่มเติม
เป็นรายปีหรือรายภาค จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนทุกภาคเรียน
และกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์จากมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการจัดหลักสูตรสถานศึกษา
2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาจะต้องทำงานร่วมกับครอบครัวและชุมชน ท้องถิ่น
วัดและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่น
เพื่อให้เกิดผลตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสองประการซึ่งจุดมุ่งหมายทั้งสองประการนี้ให้แนวทางที่สำคัญ
ซึ่งสถานศึกษาต้องพัฒนาหลักสูตรภายในบริบทและแนวทางนั้น ๆ
ดังนี้
2.1
หลักสูตรสถานศึกษาควรพัฒนาให้เด็กเกิดความสนุกและความเพลิดเพลินในการเรียนรู้
เปรียบเสมือนเป็ฯวิธีสร้างกำลังใจและเร้าใจให้เกิดความก้าวหน้าแก่ผู้เรียนให้ได้มากที่สุด
มีความรู้สูงสุดสำหรับผู้เรียนทุกคน ควรสร้างความเข้มแข็ง ความสนใจ
และประสบการณ์ให้ผุ้เรียน และพัฒนาความมั่นใจ
ให้เรียนและทำงานอย่างเป็นอิสระและร่วมใจกันควรให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้สำคัญ
ๆ ในการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น
ได้ข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีสื่อสารส่งเสริมจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นและมีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล
2.2 หลักสูตรสถานศึกษาควรส่งเสริมการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ จริยธรรม
สังคมและวัฒนธรรม และโดยเฉพาะพัฒนาหลักการในการจำแนกระหว่างถูกและผิด
เข้าใจและศรัทธาในความเชื่อของตน ความเชื่อและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ว่ามีอิทธิพลต่อตัวบุคคลและสังคมหลักสูตรสถานศึกษาต้องพัฒนาหลักคุณธรรมและความอิสระของผู้เรียนและช่วยให้เป็นพลเมืองพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ
สามารถช่วยพัฒนาสังคมให้เป็นธรรมขึ้น มีความเสมอภาค
ควรพัฒนาความตระหนัก เข้าใจ และยอมรับสภาพแวดล้อมที่ตนดำรงชีวิตอยู่
ยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกันต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับส่วนตน
ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก
หลักสูตรสถานศึกษาควรสร้างให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเป็นผู้บริโภคที่ตัดสินใจแบบมีข้อมูล
และเป็นอิสระ และเข้าใจในความรับผิดชอบ
3. การสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
หลักสูตรจะต้องสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ
และเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของการศึกษา
ผู้สอนต้องปรับปรุงกระบวนการสอนและประเมินกระบวนการสอนของตน
เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลวทางเศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรม การศึกษาจะเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ถ้าหลักสูตรมีการปรับปรุง
ให้เป็นไปตามความต้องการและความจำเป็นตลอดเวลา
สถานศึกษาควรดำเนินการจัดทำหลักสูตรดังนี้
3.1 กำหนดวิสัยทัศน์
สถานศึกษาจำเป็นต้องกำหนดวิสัยทัศน์เพื่อมองอนาคตว่า โลกและสังคมรอบ ๆ
จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และสถานศึกษาจะต้องปรับตัว
ปรับหลักสูตรอย่างไร จึงจะพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย
ในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาต้องมีวิสัยทัศน์ซึ่งทำได้โดยอาศัยความร่วมมือของชุมชน
พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ผู้เรียน ภาคธุรกิจ ภาครัฐในชุมชน
ร่วมกันกับคณะกรรมการสถานศึกษาแสดงความประสงค์อันสูงส่งหรือวิสัยทัศน์ที่ปรารถนาให้สถานศึกษาเป็นสถาบันพัฒนาผู้รเยนที่มีพันธกิจหรือภาระหน้าที่ร่วมในการกำหนดงานหลักที่สำคัญ
ๆ ของสถานศึกษา พร้อมด้วยเป้าหมายมาตรฐานแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการ
และการติดตามผล ตลอดจนจัดทำรายงานแจ้งสาธารณชน
และส่งผลย้อนกลับให้สถานศึกษาเพื่อการปฏิบัติงานที่เหมาะสมตามหลักสูตรของสถานศึกษาและมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติที่กำหนดไว้
กระบวนการสร้างวิสัยทัศน์ โดยอาศัยบุคคลต่าง ๆ เข้าไปมีส่วนร่วมนี้
เป็นกระบวนการที่มีพลังผลักดันให้แผนกลยุทธ์ที่สถานศึกษาสร้างขึ้นดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และมีทิศทาง
ก่อให้เกิดเจตคติในทางที่สร้างสรรค์ดีงามแก่สังคมของสถานศึกษา
มีระบบและหน่วยสนับสนุนในการปฏิบัติงานเกิดขึ้นอย่างเป็นเครือข่ายเพียบพร้อม
เช่น ระบบคุณภาพ ระบบหลักสูตร สาระการเรียนรู้ การเรียนการสอน
สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการติดตาม
การรายงานฐานข้อมูลการเรียนรู้ การวิจัยแบบมีส่วนร่วม
มีระบบสนับสนุนครูอาจารย์เป็นต้น
กระบวนการสร้างวิสัยทัศน์ด้วยวิธีดังกล่าวนี้
จะนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
การกำหนดสาระการเรียนรู้หรือหัวข้อเรื่องในท้องถิ่นสนองตอบความต้องการของชุมชน
3.2 การจัดหลักสูตรสถานศึกษา
จากวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ที่สถานศึกษาได้กำหนดไว้
สถานศึกษาจะต้องจัดทำสาระการเรียนรู้จากช่วงชั้น ให้เป็นรายปี
หรือรายภาค พร้อมกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้ให้ชัดเจน
เพื่อให้ครูทุกคน คือ ครูผู้สอนและครูสนับสนุน
ได้นำไปออกแบบการเรียนการสอน การบูรณาการโครงการร่วม เวลาเรียน
การมอบหมายงาน / โครงงาน แฟ้มผลงาน หรือการบ้าน
ที่มีการวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษาเป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่ครอบคลุมภาระงานการจัดการศึกาทุกด้านของสถานศึกษา
3.3 การกำหนดสาระการเรียนรู้
และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือภาค
สถานศึกษานำมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นของกลุ่มต่าง ๆ
จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานวิเคราะห์
และกำหนดให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ตามเป้าหมาย
และวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาด้วย พิจารณากำหนดวิธีการจัดการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
พร้อมทั้งการพิจารณาภูมิปัญญาท้องถิ่นแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
และสามารถกำหนดในลักษณะผสมสานการ
จัดเป็นการเรียนแบบยึดหัวข้อเรื่องหรือจัดเป็นโครงงานได้
3.4 การออกแบบการเรียนการสอน
จากสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค
สถานศึกษาต้องมอบหมายครูผู้สอนทุกคนต้องออกแบบการเรียนการสอน
โดยคาดหวังว่าผู้เรียนควรจะสามารถทำอะไรได้ เช่นช่วงชั้นที่ 1
ซึ่งมีชั้นประถมศึกษาปีที่ 1,2 และ 3
นั้นผู้เรียนจะเรียนรู้สาระเรื่องที่กำหนดไว้ในระดับใด
ยกตัวอย่างวิชาคณิตศาสตร์ ที่มีสาระที่ 1 : จำนวนและการดำเนินการ
และมีมาตรฐาน ค 1.1 :
เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใช้จำนวนในชีวิตจริง
ผู้เรียนในช่วงชั้นนี้จะสามารถทำอะไรได้ เช่น ในช่วงชั้นที่ 1
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3
กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นไว้ข้อหนึ่งว่า
มีความคิดรวบยอดและความรู้สึกเชิงจำนวนเกี่ยวกับจำนวนนับและศูนย์
และผู้เรียนในช่วงชั้นนี้จะมีความสามารถอย่างไร เช่น
ผู้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สามารถนับได้ 1 ถึง 100 และมากกว่า
เป็นต้น
และออกแบบการเรียนรู้จะต้องให้ผู้เรียนพัฒนาได้ทั้งด้านความรู้
ความคิด ทักษะและเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์และสังคม
3.5 การกำหนดเวลาเรียนและจำนวนหน่วยกิต
ในการจัดการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี
สถานศึกษาต้องตระหนักถึงความจำเป็ฯที่จะต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
โดยเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะในด้านการอ่าน การเขียน การคิดเลข
การคิดวิเคราะห์ และการใช้คอมพิวเตอร์
ด้วยวิธีการสอนที่ยึดหัวข้อเรื่องจากกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์หรือสังคมศึกษาเป็นหลักตามความเหมาะสมของท้องถิ่นบูรณาการการเรียนรู้ด้วยกลุ่มสาระต่าง
ๆ เข้ากับหัวข้อเรื่องที่เรียนอย่างสมดุล
ควรกำหนดจำนวนเวลาเรียนสำหรับสาระการเรียนรู้รายปี ดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาทีปที่ 1-3 และช่วงชั้นที่ 2
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6
ควรกำหนดจำนวนเวลาสำหรับการเรียนตามสาระการเรียนรู้รายปี
ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความจำเป็นในการสอนเพื่อเน้นทักษระพื้นฐานเช่น
การอ่าน การเขียน การคิดเลข และการคิดวิเคราะห์ โดยเฉพาะช่วงชั้นที่ 1
ซึ่งจะต้องจัดให้ผู้เรียนเรียนอย่างสนุกเพลิดเพลิน
ซึ่งในแต่ละคาบเวลาไม่ควรใช้เวลายาวเกินความสนใจของผู้เรียน
นอกจากผู้เสนอจะจัดให้เป็นกิจกรรม เช่น การฝึกให้เขียนหนังสือเป็นเล่ม
เป็นต้น
การเรียนการสอนควรดำเนินไปตามความสนใจของผู้เรียน
ครูผู้สอนในช่วงชั้นที่ 1
ควรเข้าใจจิตวิทยาการสอนเด็กเล็กอย่างลึกซึ้ง
สามารถบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
ให้ผสมกลมกลืนตอบสนองต่อชีวิตที่อยากรู้อยากเห็นของเด็กโดยเฉพาะ
แต่ต้องไม่ลืมมุ่งเน้นทักษะพื้นฐานดังกล่าว
สำหรับผู้เรียนในช่วงชั้นที่ 2
ซึ่งได้ผ่านการเรียนการเล่นเป็นกลุ่มมามาแล้ว
ในช่วงชั้นนี้จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเริ่มทำงานเป็นทีม
การสอนตามหัวข้อเรื่องจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หัวข้อเรื่องขนาดใหญ่สามารถจัดทำเป็นหัวข้อย่อยทำให้ผู้รเยนรับผิดชอบไปศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อย่อยเหล่านี้เป็นการสร้างความรู้ของตนเองและใช้กระบวนการวิจัยควบคู่กับการเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542
และนำผลงานมาแดสงทำให้ผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้ผลงานของกันและกันในรูปแฟ้มสะสมผลงาน
การเรียนในช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3
ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาคบังคับเป็ฯการเรียนที่มุ่งพัฒนาความสามารถ
ความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
สถานศึกษานอกจากจะทบทวนการเรียนรู้ในกลุ่มสาระต่าง ๆ
ที่ได้เรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่กำหนดไว้แล้ว
จะต้องจัดการเรียนแบบบูรคณาการเป็นโครงงานมากขึ้นเป็นการเริ่มทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจการศึกษาสู่โลกของการทำงานตามความต้องการของท้องถิ่นและสังคม
นวัตกรรมด้านการสอนและประสบการณ์ในการทำงานด้านต่าง ๆ
แม้การเรียนภาษาก็สามารถเป็นช่องทางสู่โลกของการทำงานได้
และต้องชี้แจงให้ผู้เรียนได้ทราบว่าสังคมในอนาคตจะต้องอยู่บนรากฐานของความรู้
สถานศึกษาจึ้งต้องจัดบรรยากาศให้อยู่ในสภาพแห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์เป็นตัวอย่างแก่สังคมและควรจัดรายวิชาหรือโครงงานที่สนองความถนัด
ความสนใจของผู้เรียนเพิ่มขึ้นด้วย
การเรียนในช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6
ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาขั้นพื้นฐานสถานศึกษาต้องจัดการเรียนรู้
เพื่อเตียมตัวให้ผู้เรียนมีความพร้อมในด้านการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นหรือการประกอบอาชีพ
ดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนการสอน
เพื่อมุ่งส่งเสริมความถนัดและความสนใจ่ของผู้เรียนในลักษณะรายวิชาหรือโครงงาน
3.6 แนวทางการจัดหลักสูตรสถานศึกษา
เพื่อให้การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ดำเนินไปด้วยดีบรรลุตามที่คาดหวัง
จึงกำหนดแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
3.6.1 การจัดทำสาระของหลักสูตร
1) กำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค
โดยวิเคราะห์จากมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่กำหดนไว้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
มาจัดเป็นผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค ที่ระบุถึงความรู้
ความสามารถของผู้เรียน
ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการเรียนรู้ในแต่ละปีหรือภาคนั้น
การกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคของสาระการเรียนรู้ของรายวิชาที่มีความเข้ม
(Honour Course) ให้สถานศึกษากำหนดได้ตามความเหมาะสม
สอดคล้องกับรายวิชาที่จะจัด
2) กำหนดสาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค
โดยวิเคราะห์จากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคที่กำหนดไว้ในข้อ
1
ให้สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระและมาตรญากนการเรียนรู้ช่วงชั้น
รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่นและของชุมชน
3) กำหนดเวลาและหรือจำนวนหน่วยกิต สำหรับสาระการเรียนรู้รายภาค
ทั้งสาระการเรียนรู้พื้นฐานและสาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนดเพิ่มเติมขึ้นดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ช่วงชั้นที่ 2
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 -6 และช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3
กำหนดสาระการเรียนรู้เป็นรายปีและกำหนดจำนวนเวลาเรียนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมาตรฐาน
ช่วงชั้นที่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาทีที่ 4-6
กำหนดสาระการเรียนรู้เป็นรายภาค และกำหนดจำนวนหน่วยกิตให้เหมาะสม
สอดคล้องกับมาตรฐานและสาระการเรียนรู้
ในการกำหนดจำนวนหน่วยกิต ของสาระการเรียนรู้รายภาค สำหรับช่วงชั้นที่
4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6
ใช้เกณฑ์การพิจารณาที่ใช้เวลาจัดการเรียนรู้ 40
ชั่วโมงต่อภาคเรียนมีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต
สาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษาจัดทำเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นวิชาเฉพาะของสายอาชีพหรือโปรแกรมเฉพาะทางอื่น
ๆ ใช้เกณฑ์การพิจารณา คือ
สาระการเรียนรู้ที่ใช้เวลาจัดการเรียนรู้ระหว่าง 40-60
ชั่วโมงต่อภาคเรียน มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต ทั้งนี้
สถานศึกษาสามารถกำหนดได้ตามความเหมาะสม และใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน
4) จัดทำคำอธิบายรายวิชา
โดยการนำผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาค
สาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค รวมทั้งเวลาและจำนวนหน่วยกิตที่กำหนด
ตามข้อ 1 2 และ 3 มาเขียนเป็นคำอธิบายรายวิชา โดยให้ประกอบด้วย
ชื่อรายวิชา จำนวนเวลาหรือจำนวนหน่วยกิต
มาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ของรายวิชานั้น ๆ
สำหรับชื่อรายวิชามีแนวทางในการกำหนดดังนี้
ชื่อรายวิชาของสาระการเรียนรู้ ให้ใช้ตามชื่อกลุ่มสาระการเรียนรู้
ส่วนชื่อรายวิชาเลือกที่สถานศึกษาจัดทำเพิ่มขึ้น
กำหนดได้ตามความเหมาะสมทั้งนี้ ต้องสื่อความหมายได้ชัดเจน
มีความสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในรายวิชานั้น
5) จัดทำหน่วยการเรียนรู้ โดยการนำเอาสาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค
ที่กำหนดไว้ไปบูรณาการจัดทำเป็นหน่วยการเรียนรู้หน่วยย่อย ๆ
เพื่อความสะดวกในการจัดการเรียนรู้
และผู้เรียนได้เรียนรู้ในลักษณะองค์รวม หน่วยการเรียนรู้
แต่ละหน่วยประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
และจำนวนเวลาสำหรับการจัดการเรียนรู้ซึ่งเมื่อเรียนครบทุกหน่วยย่อยแล้ว
ผู้เรียนสามารถบรรลุตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคของทุกรายวิชา
ในการจัดทำหน่วยการเรียนรู้
อาจบูรณาการทั้งภายในและระหว่างสาระการเรียนรู้หรือเป็นการบูรณาการเฉพาะเรื่องตามลักษณะสาระการเรียนรู้หรือเป็นการบูรณาการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้เรียน
โดยพิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้ที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
การจัดการเรียนรู้สำหรับหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละช่วงชั้น
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
โดยการปฏิบัติโครงงานอย่างน้อย 1 โครงงาน
6) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
โดยวิเคระาห์จากคำอธิบายรายวิชารายปีหรือรานภาคและหน่วยการเรียนรู้ที่จัดทำกำหนดเป็นแผนการจัดการเรียนรู่ของผู้เรียนและผู้สอน
3.6.2 การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย
วุฒิภาวะ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน
โดยคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1) การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ชมรมวิชาการ
เพื่อเกื้อกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้
2) จัดกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดตามธรรมชาติ
และคงวามสามารถ-ความต้องการของผู้เรียนและชุมชน
3)
จัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังให้ผู้เรียนมีบุคลิกภาพและคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ฝึกการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวม เช่นกิจกรรมลูกเสือ
เนตรนารี เป็นต้น
4) จัดกิจกรรมประเภทบริการด้านต่าง ๆ
ฝึกการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม
5)
การประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมอย่างเป็นระบบโดยให้ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเมินผลการผ่านช่วงชั้นเรียน
3.6.3 การกำหนดคุณลักษณะอันถึงประสงค์
สถานศึกษาต้องร่วมกับชุมชน กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์
เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนด้านคุณธรรม จริยธรรม
และค่านิยม
คุณธรรม จริยธรรม
และค่านิยมที่สถานศึกษาจะกำหนดเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นสามารถกำหนดขึ้นได้ตามความต้องการโดยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความจเเป็ฯที่จะต้องมีการปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรมและค่านิยมดังกล่าวให้แก่ผู้เรียน
เพิ่มจากที่กำหนดไว้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
ในแต่ละภาคเรียนหรือปีการศึกษา
ครูผู้สอนต้องจัดให้มีการวัดและประเมินผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน
โดยเป็นการประเมินเชิงวินิจฉัย เพื่อการปรับปรุงพัฒนาและการส่งต่อ
ทั้งนี้ควรประสานสัมพันธ์กับผู้เรียน ผู้ปกครอง
และผู้เกี่ยวข้องร่วมกันประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์รายปี/รายภาค
ในแต่ละช่วงชั้น
สถานศึกษาต้องจัดให้มีการวัดและประเมินผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน
เพื่อทราบความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียน
สถานศึกษาจะได้นำไปกำหนดแผนกลยุทธ์
ในการปรับปรุงพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
แนวทางการวัดและประเมินผลด้านคุณลักษระอันพึงประสงค์ให้เป็ฯไปตามที่สถานศึกษากำหนด
3.6.4 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ
และความต้องการของผู้เรียน
โดยให้ผู้สอนนำกระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรือบูรณาการใช้ในการจัดการเรียนรู้เพือ่พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนและเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
สามารถใช้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้
โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา
การวางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนาการดำเนินการแก้ปัญหาหรือพัฒนา
การเก็บรวบรวมข้อมูล การสรุปผลการแก้ปัญหาหรือพัฒนา
และการรายงานผลการเรียนรู้ และการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้