ผมฟังคำอภิปรายของ นพ. นพพร ชื่นกลิ่น นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ในห้องประชุม เรื่องเล่าจากผู้บริหาร แล้วเกิดความคิดว่าน่าจะนำเรื่องนี้มา AAR ไว้
◈ R2R ในบางกรณี (?ส่วนใหญ่) อาจพัฒนางานประจำแบบลองผิดลองถูก (trial and error) จนพบวิธีที่ได้ผลดีกว่าเดิม เมื่อพบวิธีที่ดี ก็นำมาตีความทำความเข้าใจ หรือหาคำอธิบายว่าความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
◈ ในการทำ R2R เราอยากให้คนหน้างานทุกคนกล้าที่จะลองทำงาน ด้วยวิธีใหม่ เพื่อหาวิธีที่ได้ผลดีกว่าเดิม เน้นคำว่ากล้าลอง เพราะว่าในวัฒนธรรมของเรา คนหน้างานเคยชินอยู่กับการทำงานตามสั่ง หรือตามมาตรฐาน เราอยากเปลี่ยนไปเป็นวัฒนธรรมทำลายมาตรฐาน ทำลายสถิติ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ที่ดีกว่าเดิม
◈ การกล้าลองผิดลองถูกและปรับจนพบวิธีที่ดีกว่าเดิมจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ R2R และเป้าหมายหลักก็คือ งานได้ผลดีกว่าเดิม หรือเรียกในภาษาการจัดการสมัยใหม่ว่าเกิด CQI แค่นี้เราก็ชื่นชมกันแล้ว
◈ แต่โลกมันไม่หยุดนิ่ง ความพอใจหรือความต้องการมันมีส่วนเพิ่ม คือเมื่อเอาผลงานพัฒนานั้นมานำเสนอ ก็จะเกิดคำถามว่า คำกล่าวอ้างว่าวิธีใหม่ดีกว่าเดิมนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน ความน่าเชื่อถือนี่แหละที่จะต้องพิสูจน์กันด้วยข้อมูล (data) และข้อมูลก็มีทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเป็นข้อมูลที่เต็มไปด้วย bias มีการเก็บข้อมูลอย่างลำเอียง ทั้งที่ลำเอียงอย่างจงใจ หรือลำเอียงอย่างไม่รู้ตัว จึงต้องมีการออกแบบวิธีเก็บข้อมูลอย่างไม่ลำเอียง นี่คือบทแรกของ research design
◈ คนที่ทำ R2R ที่ต้องการเอาผลงานไป ลปรร. กับคนอื่น หรือต้องการนำไปเสนอเป็นผลงานวิชาการ จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องเรียนรู้ Research Design และ Research Methodology
◈ โดย สวรส. มีหน้าที่ที่จะจัดให้มีการอบรม/ฝึก Research Methodology อย่างไม่ยุ่งยากเกินไป ไม่ทำให้มือใหม่ท้อใจหรือรู้สึกว่ายากเกินกำลัง
◈ เรามีตัวอย่างคนที่ฝึก Research Methodology ให้มือใหม่ไม่กลัว เช่น ดร. กะปุ๋ม ทีม ศิริราช ทีมหมอโกมาตร (วิจัยเชิงคุณภาพ) นพ. ทวีศักดิ์ นพเกษร (วิจัยเชิงคุณภาพ) ทีมระบาดวิทยาคลินิก มข. เป็นต้น
วิจารณ์ พานิช
๖ ก.ค. ๕๑
ไม่มีความเห็น