ในที่สุดคณะเราก็เดินทางมาถึงหนองบัวลำภูจนได้ ระหว่างการเดินทาง มองดูสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านทำให้ครูน้อยคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะใคร ๆ ก็บอกว่าอีสานแล้งไม่มีต้นไม้ แต่ที่เห็นไม่เพียงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่หลาย ๆ คนพูดกัน หรือว่ามีเฉพาะข้างทางเท่านั้นหรือ ฟ้าครึ้มฝนมีสายฝนโปรยปรายลงมาเปาะแปะแล้วก็ขาดหายไป แต่ก็ไม่ได้ปิดบังความงามของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านทะลุช่องว่างระหว่างปุยเมฆลงมาทำให้ท้องฟ้าข้างหน้าที่รถเรามุ่งตรงไปมีแสงเรืองรองสาดทอประกายหลากหลายสี วิวทิวทัศน์ในยามบ่ายยังทำให้มองเห็นต้นไม้ยืนต้นตระหง่านสะบัดใบล้อลม ใบไม้หลังฝนตกสีเขียวของใบและความสดชื่นทำให้คนมองพลอยสดชื่นตามไปด้วย
อีสานแถบนี้ทำไมอุดมสมบูรณ์มากมายกว่าอีสานใต้จังเลยนะ หรือว่ามีแหล่งน้ำที่กักเก็บไว้ได้ตลอดปีและมีต้นไม้หลากหลายประเภทขึ้นเบียดเสียดกันสองข้างทาง คำถามเดิมยังค้างคาใจ ที่นี่ยังมีป่าธรรมชาติหลงเหลือให้เห็น แต่ที่เราอยู่ป่ามีแต่ชื่อ โนนนั้น โคกนี้ แต่เจ้าของพื้นที่กลายเป็นนายทุน ดีหน่อยที่ดินไม่ว่างเปล่าเพราะนายทุนระดมปลูกพืชเศรษฐกิจกัน โดยเฉพาะ ยูคา และยางพารา ถึงอย่างไรก็ดีชาวไร่ชาวนาหันมาปลูกไม้ยืนต้นตามคันนากันมากขึ้นในบางท้องที่ ทำให้มีการออมน้ำออมดิน ออมอากาศออมทรัพย์ออมสินไว้บ้างก็ยังดี เพราะต้นไม้เป็นธนาคารที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั่นเอง
เข้าเขตหนองบัวลำภู ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กแต่พื้นที่ของตัวอำเภอเมืองเหมือนว่าตั้งอยู่บนที่ราบกลางหุบภูหรือหุบเขานั่นเอง บรรยากาศสวยงามมาก ทำให้นึกถึงคำพูดของพ่อครูที่บอกว่า "บรรยากาศแบบนี้ แสงแดดอุ่น อากาศสดชื่น สิ่งแวดล้อมเขียวชอุ่ม ไม่มีที่ไหนในโลกจะเหมือนเมืองไทยเรา เราไปสูดอากาศหายใจที่ไหน ๆ ก็ไม่สุขใจหรืออิ่มเอมใจเท่ากับเมืองไทยของเรา"
อาจารย์ออมต้นไม้ แล้วออมบูรณาการล่ะถึงไหน ยังคงตามติดค่ะ