บทที่ ๑๔ ของหนังสือ Teach Like Your Hair's on Fire, Penguin Books, 2007 ที่เขียนโดยครู Rafe Esquith เป็นเรื่องการเรียนโดยการเดินทางไปทัศนศึกษา
◊ ไม่ว่าจะให้เด็กทำอะไรเพื่อการเรียนรู้ ครู Rafe คิดและเตรียมการอย่างรอบคอบเสมอ ไม่ใช่ทำกิจกรรมตามกระแส
◊ เด็กๆ จะรู้เป้าหมายของการเดินทางอย่างแจ่มชัด และเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดี เพื่อให้การเดินทางเกิดการเรียนรู้มากที่สุด
◊ เดินทางไปทัศนศึกษาเพื่อ ๒ เป้าหมาย (๑) ไปเติมความกระหายใคร่เรียนรู้ และให้เกิดการเรียนรู้อย่างลึก ไม่ใช่เรียนรู้แบบผิวเผินกึ่งดิบกึ่งดี (mediocre) แบบเด็กทั่วไป (๒) เพื่อเตรียมพร้อมเด็กไปเผชิญบรรยากาศสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัย ให้เด็กเอาตัวรอดได้ จากความเหงา การควบคุมตัวเองด้านการเงิน ความสัมพันธ์กับคนอื่น มีวิธีจัดความสัมพันธ์กับคนที่มีบุคลิกเจ้าปัญหาได้ และทนความผิดหวังได้ เป็นต้น เพื่อป้องกันปัญหาเด็กที่เคยเรียนดี ไปล้มเหลวในระดับมหาวิทยาลัย
◊ นักเรียน & ครู เตรียมตัวพร้อมก่อนไป กับไม่เตรียมตัวเลย ได้ผลต่างกันเป็น ๑๐ เท่า การไม่เตรียมตัวอาจให้ผลลบ คือแทนที่เด็กจะไปเรียนรู้สิ่งดีๆ กลับไปเรียนรู้การทำชั่ว ครู Rafe เคยไปเห็นนักเรียนมัธยมไปแกล้งเอาอุจจาระละเลงห้องน้ำในพิพิธภัณฑ์ โดยครูไม่ได้เอาใจใส่ดูแล
◊ ผมมองว่าการเอาใจใส่เตรียมตัวอย่างประณีต เป็นการฝึกฝนและสร้างนิสัยติดตัวไปตลอดชีวิต
◊ กิจกรรมนี้ไม่บังคับ แต่นักเรียนที่ต้องการไปต้องเตรียมตัว ต้องทำการบ้านในเรื่องเตรียมตัว คือต้องมาเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวนอกเวลาเรียน เป็นการ “ทำงานเพื่อแลกกับสิทธิที่จะได้ไปทัศนศึกษา” ซึ่งการทำงานก็คือการเตรียมตัวเอง เนื่องจากเด็กเหล่านี้ยากจน จึงไม่เก็บค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักจากเด็ก แต่เด็กต้องจ่ายค่าอาหารเอง ในช่วงเริ่มต้นเป็นครู ครู Rafe ทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินสนับสนุนกิจกรรมนี้แก่เด็ก ได้แก่รับจ้างส่งหนังสือพิมพ์, รับจ้างทำความสะอาดส้อมใน Rock Concert, ขับรถส่งเอกสาร, รับจ้างติวเด็กในครอบครัวเศรษฐี เป็นต้น แต่พบว่าการทำงานหลายอย่างเกินไป พักผ่อนไม่พอ ทำให้ไม่มีเวลาเตรียมการเรียนรู้ของเด็ก และกลับเป็นผลร้าย ตอนหลังครู Rafe พบแหล่งองค์กร หรือมูลนิธิ ใจบุญที่ต้องการบริจาคช่วยเหลือการศึกษาของเด็ก โดยชั้นเรียนนั้นต้องไปจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่ค้ากำไร (Non Profit) ซึ่งต้องมีทนายความช่วยเขียนแบบฟอร์มและดำเนินการ ซึ่งครู Rafe ก็ได้ศิษย์เก่าที่เป็นทนายความดำเนินการให้ฟรี
◊ เด็กที่จะได้เดินทางทัศนศึกษาต้องมีความพร้อม เด็กที่ไม่เตรียมความพร้อม และไม่มีความพร้อม จะไม่ได้สิทธิที่จะเดินทาง เด็กต้องขวนขวายด้วยตัวเองเพื่อให้ได้สิทธิ์นี้
◊ สิ่งที่เด็กต้องเตรียมตัวมี ๒ ช่วง คือ (๑) วิชาประวัติศาสตร์ และ (๒) การเรียนรู้ชีวิตที่อยู่ไกลบ้าน มีรายละเอียดมาก ท่านที่สนใจต้องอ่านเอาเอง จะเห็นว่าครู Rafe นี้ “บ้า” จริงๆ
◊ เด็กอายุ ๑๐ ขวบได้เรียนรู้มากมายจากการเดินทาง จากการได้ฝึกนั่งรถเมล์ ได้เรียนรู้การนั่งเครื่องบิน การไปพักในโรงแรมร่วมกัน การพักในโรงแรมอย่างปลอดภัย การข้ามถนนอย่างปลอดภัย ฯลฯ ได้เรียนรู้กิริยามารยาทเมื่อต้องใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้ที่จะไม่เจี๊ยวจ๊าวก่อความรำคาญหรือเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ฯลฯ ทั้งหมดนี้ครู Rafe เตรียมทำความเข้าใจกับเด็กล่วงหน้าหมด
◊ ในระหว่างช่วงทัศนศึกษา เด็กจะมารวมตัวกันทุกคืนเพื่อวางแผนของวันต่อไป เมื่อเด็กกลับไปยังห้องพักเรียนร้อยจะโทรศัพท์แจ้งครู Rafe ว่าถึงห้องเรียบร้อยแล้ว
◊ มีการวางแผนลงรายละเอียดจนกระทั่งว่าจะถ่ายรูปเด็กกับวิวไหนในช่วงเวลาใดของวันเพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด ไม่ถ่ายย้อนแสง และลงรายละเอียดว่าจะใช้เวลาดูอะไร ไม่ดูอะไร คือต้องไม่โลภมากจนเด็กเหนื่อยเกินไป จนได้เรียนรู้น้อย เขาใช้คำว่า Less is more คือดูน้อยที่ แต่ได้เรียนรู้มากกว่า
◊ ครู Rafe ทำให้ทุกขั้นตอนของการเดินทางเป็นการเรียนรู้สำหรับเด็ก ไม่เว้นแม้แต่การไปกินอาหารเที่ยงในร้านอาหารของพิพิธภัณฑ์ เด็กจะได้เรียนรู้วิธีเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่กินอาหารขยะ
◊ นอกจากพานักเรียนห้อง ๕๖ ไปทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์และแหล่งประวัติศาสตร์แล้ว ครู Rafe ยังพาศิษย์เก่าของตน ที่เรียนอยู่ชั้นมัธยม ไปทัวร์ทำความรู้จักมหาวิทยาลัย ช่วยให่ศิษย์เข้าใจว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเป็นอย่างไร ต้องอ่านจดหมายที่ลูกศิษย์เขียนมาถึงครู Rafe นะครับ จะได้เห็นว่าครูที่ดีมีคุณค่าต่อชีวิตของศิษย์อย่างไร
วิจารณ์ พานิช
๑๐ มิ.ย. ๕๑
ไม่มีความเห็น